3 ความเข้าใจจากวิกฤตไวรัส COVID-19
SCB Chief Investment Office (SCB CIO) สำหรับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ ที่ทำให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศว่า GDP ในปีนี้อาจติดลบถึง 5.3% เป็นเหมือนการยืนยันแล้ว ว่าเราคงหนี้ไม่พ้นเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในปี้นี้อย่างแน่นอน แต่เราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งจากเหตุการณ์ที่ดีและไม่ดี โดยสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน
1.เข้าใจการใช้นโยบายช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพจะมีส่วนช่วยเสริมให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วหรือช้า – ไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้ง หรือ Hamburger Crisis เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก เกิดจากความกังวลของมนุษย์ โดยไม่ได้เกิดจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ หรือการเก็งกำไรจนเกิดฟองสบู่แตก กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดลงจากการกักตัว quarantine, social distancing หรือ work from home เนื่องจากความกลัวทางด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สถานประกอบการจำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราวและทำให้ผู้คนทั้งผู้ประกอบการ และลูกจ้าง ต้องมีรายได้ลดลง
แม้ว่านโยบายการเงิน – การคลังจะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องไวรัสนี้ได้โดยตรง แต่ก็มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังจากภาครัฐอย่างเต็มที่ และต้องรวดเร็ว ควบคู่ไปด้วยเพื่อเป็นการลดภาระ เช่น การจ่ายเงินให้กับผู้ที่ตกงาน หรือกลุ่มอาชีพอิสระโดยตรง การช่วยเหลือ SMEs ในการจ่ายเงินเดือนพนักงานให้บางส่วน เพื่อที่บริษัทไม่จำเป็นต้องไล่พนักงานออกเพื่อลดต้นทุน ไม่ทำการตัดระบบสาธารณูปโภคแม้ว่าจะค้างชำระ คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการตรวจ และรักษาไวรัสโควิด-19 การยกเว้นภาษีหรือให้สิทธิการลดย่อนต่างๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นต้องทำโดยเร่งด่วน เพื่อช่วยกันตัดวงจรที่บริษัทต่างๆจะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ต่อไปในช่วงที่ต้องมีการหยุดกิจการเป็นการชั่วคราว
2.เข้าใจการปรับปรุงมาตรการการรับมือด้านสาธารณสุขกรณีฉุกเฉิน – เราเห็นถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลด้านจัดการภาวะวิกฤติ (Crisis management) และระบบสาธารณสุขในประเทศต่างๆ ตลอดจนความเชื่อ ความร่วมมือของประชาชนก็มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมโรค
โดยกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตกนั้นมีการรับมือที่ด้อยกว่ากลุ่มประเทศฝั่งตะวันออก สังเกตได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อของสหรัฐฯ และอิตาลีที่ได้เพิ่มขึ้นสูงกว่าประเทศจีนไปแล้วโดยตัวเลขดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะการเริ่มต้นของการควบคุมอย่างเข้มข้นมาช้า แตกต่างจากฝั่งตะวันออก ตลอดจนความร่วมมือของประชาชนในแต่ละประเทศในช่วงที่เริ่มต้นของการระบาดก็มีแตกต่างกันไป การใช้มาตรการทางด้านสาธารณสุขในการป้องกัน ประชาสัมพันธ์ และควบคุมโรคระบาด ควบคู่ไปกับมาตรการทางด้านการเงิน และการคลังที่เหมาะสมทั้งขนาด และความรวดเร็วจึงมีความสำคัญ ซึ่งในแต่ละประเทศมีการดำเนินมาตรการที่แตกต่างกัน ดังนี้
กรณีประเทศจีนและสิงค์โปร์ สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ดี และมีมาตรการช่วยจากภาครัฐเต็มที่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะสามารถกลับมาได้เร็ว หรือ เราคาดว่าจะเป็นลักษณะกราฟเป็นรูป V Shape ได้
กรณีประเทศสหรัฐฯ ที่สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19 ได้ไม่ดีเท่า แต่มีมาตรการช่วยจากภาครัฐเต็มที่ อาจจะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยยาวนานกว่า แต่ก็จะค่อยๆฟื้นฟูเศรษฐกิจไปได้ เหมือนลักษณะกราฟ U Shape
กรณีประเทศอิตาลี ซึ่งไม่สามารถควบคุมไวรัสโควิด-19ได้ ทำให้เกิดการระบาดอย่างรุนแรง และมาตรการช่วยจากภาครัฐทางด้านการเงิน การคลังที่อาจจะไม่เต็มที่หรือช้าเกินไป เนื่องจากข้อจำกัดที่มีอยู่แล้วก่อนวิกฤตไวรัสโควิด-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ในระยะเวลานานกว่าทั้งสองกรณี และจำเป็นต้องใช้เวลาและงบประมาณเป็นจำนวนมากขึ้นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ Phase ต่อไปหลังสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลายแล้ว
3.เข้าใจความเสี่ยง และมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตการลงทุนมากขึ้น – โดยทั่วไปแล้วเราควรมีเงินสำรองไว้ 3-6 เท่าของรายจ่าย หลังจากนั้นค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือขยายกิจการ แต่ช่วงที่ดอกเบี้ยโลกอยู่ในระดับต่ำมากก็ทำให้การถือเงินสดนั้นได้ผลตอบแทนที่ต่ำ ทุกคนต่างแสวงหาการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ใช้ความเสี่ยงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้เกิดภาวะ Search for yield ในการแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น
เมื่อมี ไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ตลาดหุ้น ตลาดเครดิต ร่วงลงมาอย่างรวดเร็วแล้ว ยังทำให้ผู้ที่เคยมีรายได้ แต่ทำงานในธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมที่ถูกผลกระทบโดยตรงจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม การบิน เป็นต้น ประสบกับปัญหาการขาดรายได้อย่างทันที หรืออยู่ในภาวะที่เราเรียกว่า “ขาดสภาพคล่อง” แต่สำหรับผู้ที่ยังมีเงินเย็นเก็บไว้ นอกจากจะยังสามารถรอดจากวิกฤติช่วงนี้ได้ ก็ยังเป็นโอกาสในการลงทุนเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติแล้วได้อีกด้วย