สนิมเนื้อใน รัฐบาลเศรษฐา วิกฤตผู้นำ-พรรคร่วมแตกคอ
รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน บริหารประเทศมาแล้วกว่า 8 เดือน ปรับครม.ไปแล้ว 1 ครั้ง เปลี่ยนตัวรัฐมนตรี-ปรับออก 6 คน ปรับเข้า 5 คน สลับตำแหน่ง 5 ตำแหน่ง ใช้เงินงบประมาณก้อนแรก 3.48 ล้านล้าน
นอกเหนือไปจากสไตล์ทักษิณ-บริหารราชการแผ่นดิน 6 เดือน ปรับครม. 1 ครั้ง เพื่อ “เติมเต็ม” โควตาพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยได้ “เสริมทัพ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่เป็น “รัฐมนตรีสายตรง” ในทำเนียบรัฐบาลถึง 3 ตำแหน่ง กุม “เส้นเลือดใหญ่” สูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจบนตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งเรื่องงบประมาณ-กฎหมายและการสื่อสาร รวมถึง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีคมนาคมที่ควบรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งถือหางเสือขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์นโยบายเรือธงให้แจ้งเกิดเสียทีหลังมะงุมมะงาหราไปหลายเดือน
ขณะที่ “กระทรวงถุงเงิน” อย่างกระทรวงการคลัง เติม “ขุมกำลัง” อัดเข้าไปถึง 2 ตำแหน่ง โดยเฉพาะ “เก้าอี้ขุนคลัง” อย่าง “พิชัย ชุณหวชิร” และ “มิสเตอร์ดิจิทัลวอลเล็ต” เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยคลัง เป็น “สามประสาน” ของพรรคเพื่อไทยในกระทรวงการคลังที่จะคอยผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต-โปรเจ็กต์กาสิโนถูกกฎหมาย ตลอดจนการ “ต่อกร” กับ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนพุฒิ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” ทะลวงท่อนโยบายการเงิน ให้ลดอัตราดอกเบี้ย-ปลดล็อกมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปี 67 หลังใช้กระสุนนโยบายการคลังไปหมดแม็ก เป็นการเปลี่ยนเกมจากการใช้ “ไม่แข็ง” ทุบแบงก์ชาติไม่ได้ได้ผล จึงใช้ “ไม้อ่อน” ส่วนแบงก์ชาติจะอ่อนตามหรือหักกลางลำยังต้องรอลุ้นต่อไป
ปานปรีย์-กฤษฎา ทิ้งบอมบ์
ทว่า “สนิมอยู่เนื้อในตน” รัฐบาลเรือเหล็ก 314 เสียง 6 พรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ กำลังเผชิญกับความท้าทายในตัว “ผู้นำ” เมื่อ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในรัฐบาลเศรษฐาแบบ “ฟ้าผ่า” หลังจาก “ครม.เศรษฐา 1/1” โปรดเกล้าฯไม่ทันข้ามคืน เพราะโดนริบเก้าอี้รองนายกฯ เหลือเพียงรัฐมนตรีต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียว จะไปเจรจาค้าขาย-ค้าความคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งในสมรภูมิระหว่างประเทศเหมือน “ยักษ์ไม่มีกระบอง” ปานปรีย์ยังต้อง “กระอักเลือด” เป็นครั้งที่สอง เพราะไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็น “สายตรงทักษิณ” นั่นเองที่มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่-หน้าคนคุ้นเคย
คลื่นลมซัดซ้ำรัฐบาลเศรษฐาอย่างต่อเนื่อง เมื่อ “กฤษฎี จีนะวิจารณะ” รัฐมนตรีช่วยคลังส่งหนังสือลาออกหลังจากประชุม “ครม.นัดแรก” เพียงวันเดียว หลังจากไม่ได้รับความเป็นธรรม “แบ่งงาน” เหลือเพียงสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะที่เป็นระนาบเดียวกับกรมเพียงหน่วยงานเดียว โดยระบุเหตุผลของการลาออกว่า “ไม่ให้เกียรติ” อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่เป็น “อดีตปลัดกระทรวงการคลัง” เป็นลูกหม้อกระทรวงการคลังมานมนาน แต่ต้องมาโดนนักการเมือง “ลดชั้น” ประกอบกับ “แค้นฝังหุ่น” กับ “ขุนคลังคนใหม่” ความบาดหมางแต่เก่าก่อนเป็นทุนเดิม จึงทำให้ครม.เศรษฐา1/1 เหมือนแก้วบิ่นที่รอวันแตกร้าว
หักดิบภูมิใจไทย-กัญชาไม่เสรี
ทายาทพรรคเจ้าพ่อแห่งการประกาศสงครามกับยาเสพยุครัฐบาลทักษิณ-ไทยรักไทยกำลังจะทำให้พรรคเพื่อไทย “แตกคอ” กับพรรคภูมิใจไทย หลังจากเศรษฐาประกาศดึงกัญชากลับไปสู่บัญชียาเสพติดประเภท 5 อีกครั้ง หลังรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีเจ้ากระทรวงสาธารณสุขมาจากพรรคภูมิใจไทยปลดล็อก “กัญชาเสรี” จากเพื่อทางการแพทย์มาใช้สันทนาการกันอย่างโจ่งแจ้ง รอบรั้วโรงเรียน-อาชีวะ-มหาวิทยาลัย เปิดร้านขายกัญชาตั้งแต่ปากซอยจนถึงท้ายซอย
แม้พรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยจะจับมือร่วมรัฐบาล แต่เมื่อเศรษฐาไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศไว้ว่าจะเอากัญชากลับมาขึ้นทะเบียนเป็นยาเสพติดอีกครั้ง มิน้ำซ้ำยังขีดเส้นไว้ชัดเจนว่า ภายใน 1 ปี แม้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล จะ “สงวนท่าที” เพื่อรักษาบรรยากาศในพรรคร่วมรัฐบาล แต่ยังคงเคลื่อนไหว โดยมีภาพไปพบกับทักษิณที่ร้านอาหาร “เยี่ยมใต้” เพื่อหาคำตอบ-ตอบคำถามโหวตเตอร์ที่เลือกพรรคภูมิใจไทยเพราะนโยบาย “กัญชาเสรี” จึงเป็นเหมือนการ “ตอกลิ่ม” ความขัดแย้งระหว่างนายอนุทินกับนายเศรษฐา ที่แลกหมัดกันตั้งแต่ในช่วงการเลือกตั้งหลายครั้ง ลึก ๆ แล้วยัง “ติดใจ” กันอยู่
ดัดหลังแก้กฎหมาย ดึง ภาษีน้ำมัน
รอยร้าวในพรรครัฐบาลที่เกิดจากรอยปริในที่ประชุมครม.หลังจาก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหอกพรรครวมไทยสร้างชาติ-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน ขออนุมัติ “งบกลาง” กว่า 8,300 ล้านบาท เพื่อลดราคารน้ำมันดีเซล 6,000 ล้านบาท และมาตราการตรึงราคาก๊าซแอลพีจี วงเงิน 500 ล้านบาท รวมถึงลดค่าไฟฟ้าให้กลุ่มเปราะบาง วงเงิน 1,800 ล้านบาท แต่มาตรการลดราคาน้ำมันดีเซลกับก๊าซแอลพีจีโดน “ตีกลับ” ให้ไปใช้กลไกลกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน จนทำให้ “เจ้ากระทรวงพลังงาน” ออกมาให้สัมภาษณ์ดัดหลังว่าเตรียมแก้กฎหมายดึง “ภาษีน้ำมัน” กลับมาอยู่ภายใต้กำกับกระทรวงพลังงาน
อีกปมที่จะทำให้เกิดความระหองระแหงระหว่างรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำกับพรรครวมไทยสร้างชาติที่ยืนคนละมุมในช่องก่อนการเลือกตั้ง คือ กฎหมายนิรโทษกรรม ที่จะพ่วงการกระทำความผิดเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังจากการตายของ “บุ้ง ทะลุวัง” ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่อดอาหารจนเสียชีวิต ข้อเสนอให้นิรโทษกรรมคดี 112 จึงถูกจุดพลุอีกครั้ง แถมยังโยนใส่ไปยังทำเนียบรัฐบาลให้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการแสดงความจริงใจออกตัวเป็นเจ้าภาพ ซึ่งอาจจะ “ฟางเส้นสุดท้าย” ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ “พรรคทหาร” ให้แยกทางกันเดินก็เป็นได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ทัวร์นกขมิ้น นายก ซื้อใจท้องถิ่น เทงบ 68 ตกเขียว เลือกตั้งนายกอบจ.