วิกฤตไวรัสอู่ฮั่น วิกฤติศรัทธา วิกฤติเศรษฐกิจ
ในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา….สังคมไทยเคยผ่านพ้นเรื่องราวของโรคระบาดรุนแรงมาแล้วมากมาย นับแต่…โรคซาร์ส (SARS-CoV) หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2545-2546 ตามมาด้วย โรคไข้หวัดนก (Avian influenza หรือชื่อสามัญ bird flu) จากไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชื่อ H5N1 เมื่อปี 2547
จากนั้น ปี 2555 เกิดโรคระบาดตัวใหม่ อย่าง…โรคเมอร์ส (MERS-CoV) ที่ระบาดจากแถบตะวันออกกลาง ขยายไปยังหลายประเทศ หนึ่งในนั้น…มีผู้ป่วยเดินทางมายังประเทศไทยด้วย
แต่ทุกโรคระบาดจากเชื่อไวรัสตัวร้ายสายพันธุ์ใดๆ ก็ตาม เมื่อมาถึงดินแดนที่มีอุณหภูมิค่อนข้างร้อน อย่างประเทศไทย ผนวกกับการวางมาตรการ “รับมือ” ตั้งแต่…การป้องกัน ดูแลรักษาทั้งก่อนและหลังติดเชื้อ ทำให้คนไทยและใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย สามารถจะผ่านพ้นวิกฤติรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต…ไปได้
สิ่งสำคัญมาจากความชัดเจน…เชิงนโยบายของรัฐบาลในยุคสมัยนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพฤติกรรมของรัฐบาลในวันนี้
รัฐบาลที่ต่อเนื่อง…เชื่อมโยง และผูกพันมากับ “รัฐบาล คสช.” ซึ่งเกิดมาจากการทำรัฐประหาร ด้วยการใช้อาวุธสงครามเข้ายึดอำนาจ และฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างกติกาในการบริหารบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ อาจเข้าไม่ถึงความรู้สึกลึกๆ ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้
โดยเฉพาะการสร้างความมีส่วนร่วมของคนในบ้านเมือง…ลักษณะ “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” และนั่นอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่เชื่อใจ…ไม่ไว้ใจ และไม่เชื่อมั่น ต่อนโยบายหรือมาตรการใดๆ จากรัฐบาลชุดปัจจุบัน
การแพร่ระบาดครั้งใหม่…ของไวรัสตัวใหม่ ที่ชื่อ “ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019” (2019 – nCov) หรือที่คนทั่วโลกเรียกขานกันว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” เพราะมีต้นตอมาจาก…อู่ฮั่น “เมืองหลวง” แห่งมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน นั่น
ส่งผลกระทบมากมาย…ไม่เฉพาะในประเทศจีน หากแต่ประเทศข้างเคียง โดยเฉพาะประเทศที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก อย่างประเทศไทย ก็โดนมรสุมไวรัสตัวใหม่จากเมืองอู่ฮั่น ไม่ต่างกัน
จากความรู้สึกของคนไทย ลามต่อไปยังภาคธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว กระทั่ง ยามนี้…ทะลักเข้าไปยังภาคการลงทุนกันแล้ว
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย ปิดเมื่อช่วงเย็นของวานนี้ (27 ม.ค.2563) ไหลไปอยู่ที่ระดับ 1,524.15 จุด ลดลง 45.40 จุด (-2.89%) มูลค่าการซื้อขาย 69,174.18 ล้านบาท
ไม่ต่างจากตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ “ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019” โดยที่ดาวโจนส์ สหรัฐอเมริกา ติดลบ 453.93 จุด ขณะที่ นิกเกอิปิดร่วง 483.67 จุด แม้กระทั่ง เพื่อนบ้านตอนใต้ของจีน อย่าง อินเดีย ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ปิดตลาด…ดัชนี Sensex ร่วงกว่า 400 จุด
กลับมาที่ประเทศไทย…มูลเหตุที่ทำให้คนไทย นักธุรกิจและนักลงทุนไทย เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019” ล้วนมาจากพฤติกรรมและการกระทำของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นสำคัญ
ส่วนหนึ่งเพราะความไม่เชื่อมั่น…ไม่ไว้ใจ…ไม่เชื่อใจรัฐบาล ที่มีพฤติกรรมเคลือบแคลง ปิดบัง ซ่อนเร้น ไม่บอกความจริง และไม่ทำในสิ่งที่ให้คำมั่นสัญญา
หากยังจำได้ รัฐบาลก่อนหน้านี้ (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) เคยประกาศจะขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย ผ่านการลงทุน 2 โครงการขนาดยักษ์ เกี่ยวกับการปฏิวัติระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศขึ้นมาใหม่
หนึ่ง…ลงทุนระบบราง สร้างเส้นทางรถไฟฟ้า 10 สาย (สี) ในเมืองหลวงและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง ผ่านเส้นทาง “เหนือ-ใต้-ออก-ตก” กับโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
อีกหนึ่ง…ลงทุนสร้างวางระบบบริหารจัดการน้ำ วางแผนรับมือ…ป้องกันและแก้ไขปัญหา น้ำแล้งและน้ำท่วมในคราวเดียวกัน ด้วยงบประมาณอีก 3.5 แสนล้านบาท
ทว่าทั้ง 2 โครงการยักษ์…จบและสิ้นสุดลงไปกับ “การ์ดเชิญ” ที่ลุงกำนันและเครือข่าย กปปส. กวักมือเรียกกองทัพ เข้ามาทำการรัฐประหาร…ยึดอำนาจ
แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนไป! เป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากปลายกระบอกปืน กระทั่ง เป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ต่อเนื่องมาจากรัฐบาล คสช. แต่ทว่า…ปัญหาของประเทศและของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการขาดการลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งการวางระบบราง (รถไฟความเร็วสูง) และการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ก็ยังคงดำรงอยู่
เมื่อไม่มีการบริการจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม โครงการที่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และมีเงินงบประมาณฯรวมกันราว 15 ล้านล้านบาท ตลอด 5 ปีเศษ จึงไม่สามารถจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้
กลายเป็นความสูญเสีย…เชิงโอกาสของประเทศกันไป
วันนี้…รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะรู้สึกงงๆ กับบทบาทใหม่ของตัวเอง ในวันที่…สังคมสามารถจะวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงการมีฝ่ายค้านที่คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล จึงออกอาการ “ไม่อยู่กับร่องกับรอย” ให้ได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
หากยังจำกันได้ ปีก่อนหน้านี้…เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศดังๆ ว่าจะให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 (Particulate Matters) ภัยเงียบ…ที่สร้างภาวะอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของคนไทย บูรณาการทำงานอย่างเป็นระบบ
แต่จนแล้วจนรอด…สังคมไทยก็ไม่ได้เห็นการสั่งการของผู้นำรัฐบาล และการบูรณาการของหน่วยงานรัฐ แต่อย่างใด
กับปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม หากไม่มีการทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 ล่ะก็ ไม่เพียงคนไทยจะได้เห็นการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ
กระทั่ง เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก…น้ำจะไม่ท่วม ขณะที่ถึงฤดูแล้ง…น้ำก็จะไม่ขาด พืชสวนไร่นาของพี่น้องเกษตรกร ก็จะไม่เสียหาย แถมโครงการบริหารจัดการน้ำของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ยังจะช่วยสำรองน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตรและชลประทาน รวมถึงการสร้างเครือข่ายระบบน้ำ เพื่ออำนวยประโยชน์สำหรับการเดินทาง การขนส่งและการท่องเที่ยว
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น! คือ สิ่งเหล่านี้…ไม่เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่อยู่ในร่างของ “รัฐบาล คสช.” ตลอด 5 ปีเศษก่อนหน้านี้ และอีกเกือบขวบปีกับ “รัฐบาลพลเรือน” ในปัจจุบัน
ไม่เกิดขึ้นเพราะอะไร? เหตุผลและคำตอบที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีให้กับสังคมไทย…ก็คงไม่ได้รับการตอบสนองมากสักเท่าใด
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะออกแถลงการณ์เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลสามารถรับมือและป้องกันได้ทั้งปัญหา ฝุ่น PM 2.5 และการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019” ได้ทั้ง 100% ทำนอง…รัฐบาลได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข แบ่งเป็น 3 ระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ โดยจะติดตามอย่างใกล้ชิดทั้งในและนอกประเทศ
พร้อมกำหนดมาตรการต่างๆ อย่างเหมาะสม บูรณาการภาครัฐ ภาคเอกชน และกองทัพ เสริมความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวัง
แต่จะทันการกับภาวะ “ความเชื่อถือที่ล้มละลาย” ในสังคมไทยหรือไม่?
ด้วยเหตุที่…สังคมไทยเกิดความรู้สึกร่วมกัน กล่าวคือ…ไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อมั่น ในทุกๆ คำพูดและคำตอบจาก “ผู้นำรัฐบาล” ไปแล้ว นั่นเอง
ถึงตรงนี้…แผนการรับมือกับ “วิกฤติเฉพาะหน้า” จากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019” หรือ “ไวรัสอู่ฮั่น” นั้น คงทำให้คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศ “หมดศรัทธา” กับการทำงานของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์
และนั่น…จะนำไปสู่ผลกระทบรอบใหม่ ทั้งต่อวิถีชีวิตของผู้คน ต่อภาคธุรกิจการค้า และการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะตัวหลังนี้…ถือเป็น “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” เพียงตัวเดียวที่ยังพอใช้การได้ดี แต่เมื่อผู้คนต่างเกิดความรู้สึกเดียวกัน คือ ไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อมั่น ในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์
ประกอบกับความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ ส.ส.รัฐบาล เสียบบัตรแทนกัน สะท้อนภาพ “ลงคะแนนเสียงในสภาฯ” ให้กัน ซึ่งขัดกับหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ
กระทั่ง อาจส่งผลกระทบมากกว่าการไม่มีเงินงบประมาณฯใช้ได้ทันตามกำหนดเวลา
ถึงตรงนี้…ทุกกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ได้รับความเสียหายจาก “วิกฤติศรัทธา” ของคนไทย ต่อพฤติกรรมของทั้ง…รัฐบาล และ “ผู้นำรัฐบาล” จะกลายเป็นความสูญเสีย อีกครั้งใหญ่ ทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเที่ยว
อย่างยากจะแก้ไขได้ ยกเว้น! เปลี่ยน…รัฐบาล และ “ผู้นำ” เสียใหม่!!!.