ชี้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นหลังส่งออกพลิกบูม
สศค.ชี้ เศรษฐกิจไทย ช่วง ก.ค.62 เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อย จากปัจจัยหนุนด้านอุปสงค์การส่งออกสินค้าขยายตัวรอบ 5 ด. ด้านอุปทาน รับอานิสงฆ์จากการเกษตรและท่องเที่ยว ขณะที่อุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง เผยต้องติดตามสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผอ.สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษก สศค. แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน ก.ค.62 พบว่า “เศรษฐกิจไทย เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากปัจจัยสนับสนุนด้านอุปสงค์จากการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวได้ในรอบ 5 เดือน ประกอบกับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวได้จากเดือนก่อนหน้าในเครื่องชี้เศรษฐกิจบางรายการ
สำหรับเศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน มีการขยายตัวในภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ อย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 17.5 ต่อปี ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งกลับมาขยายตัวร้อยละ 0.8 ต่อปี และปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 11.5 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ชะลอตัวร้อยละ -9.1 ต่อปี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลงอยู่ที่ระดับ 62.2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า
ด้านการลงทุนภาคเอกชน พบว่าปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากการขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี ขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัวที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดก่อสร้างสะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศชะลอตัวร้อยละ -4.5 ต่อปี เช่นเดียวกับภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่ชะลอตัวร้อยละ -6.0 ต่อปี และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวร้อยละ -2.0 ต่อปี โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวของดัชนีหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็กเป็นสำคัญ
เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศ พบว่า ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี โดยมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีนกลับมาขยายตัว โดยสินค้าส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี เช่น เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องนุ่งห่ม รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผัก ผลไม้สดแช่แข็ง และแปรรูป ยางพารา สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี ทั้งนี้ ดุลการค้าในเดือน ก.ค.62 พบว่าเกินดุลที่มูลค่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตรขยายตัวได้ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนนี้ มีถึง 3.33 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 4.7 ต่อปี เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาขยายตัวในรอบ 5 เดือน โดยขยายตัวที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี และนักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี อาทิ นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ลาว และมาเลเซีย เป็นต้น และสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีมูลค่ารวม 167,283 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อปี เช่นเดียวกับภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ 0.2 ต่อปี ส่วนภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวร้อยละ -3.2 ต่อปี เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 93.5 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า การปรับลดลงดังกล่าวมีปัจจัยมาจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับภัยแล้งซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการผลิต และเรื่องสงครามการค้าซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี และเมื่อหักสินค้ากลุ่มอาหารสดและสินค้ากลุ่มพลังงานออกอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกำลังแรงงาน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 41.3 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 อยู่ในระดับสูงที่ 218.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings (Fitch) และ Moody’s Investors Service (Moody’s) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เป็นเชิงบวก (Positive Outlook) ภายใต้ Rating BBB+ (Fitch) และ Baa1 (Moody’s) ในช่วงเดือนกรกฏาคม 2562 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจไทย.