“โนเบิล” ลุยปั๊ม 7 โครงการใหม่กว่า 2.5 หมื่นล้าน
“โนเบิลฯ” ประกาศแผนปี 63 เตรียมรุกต่อเนื่อง ทุ่มเปิด 7 โครงการมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท พร้อมเป้ายอดขายพรีเซลทั้งปีมากกว่า 12,000 ล้านบาท เตรียมโชว์โครงการร่วมทุนบีทีเอส เปิดโครงการซุปเปอร์ลักชัวรีกับทุนฮ่องกงบนแปลงวิทยุ
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยทีมผู้บริหารแถลงแผนธุรกิจปี 2563 ว่า ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นชุดใหม่ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรผลักดันผลดำเนินการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของโนเบิล ในการมุ่งหน้าดำเนินธุรกิจสานต่อความสำเร็จในปีที่ผ่านมา พร้อมตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับแผนรุกเปิดอย่างน้อย 7 โครงการใหม่ และผลักดันแคมเปญต่อเนื่องตลอดทั้งปี พร้อมรุกตลาดคอนโดมิเนียมครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ระดับราคาที่จับต้องได้จนถึงระดับไฮเอนด์ รวมมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมียอดบันทึกรายได้จากโครงการที่ขายได้แล้ว (Backlog) ที่จะรับรู้รายได้กว่า 17,000 ล้านบาทภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นคงในการรับรู้รายได้ที่สูง รวมทั้งปีนี้โนเบิลมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งร่วมพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อรุกตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลศักยภาพถึง 2 โครงการ
“ในไตรมาสแรกนี้ โนเบิลเตรียมปล่อย 3 แคมเปญใหญ่รุกตลาดคอนโดมิเนียม เริ่มที่โครงการโนเบิล สเตท 39 โครงการกลางเมืองอย่าง โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลส-ร่วมฤดี พร้อมอยู่ และบริษัทได้เตรียมต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ NUE อีกครั้ง กับโครงการใหม่ที่งามวงศ์วาน”
นอกจากนี้ บริษัทฯได้วางแผนเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องในปี 2563 นี้บนทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ โดยเปิดโครงการที่ทำเลเด่นแถบแยกไฟฉาย-วังหลัง ใกล้โรงพยาบาล ศิริราช, ทำเลหรู ใจกลางเมือง ทองหล่อ และยังได้ร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่กับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ติด 2 สถานี MRT รัชดา และ ลาดพร้าว และภายในปีนี้ โนเบิลได้เตรียมเปิดตัวโครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ เพื่อพัฒนาที่ดินขนาด 3 ไร่บนถนนวิทยุ
ในด้านตลาดต่างประเทศ นายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวว่า ในปี 2562 บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดขายจากต่างประเทศขึ้น จากในปี 2562 ที่มียอดขายประมาณ 3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2562 เป็น 7,000 ล้านบาทในปี 2563.