ทรอปิคานา ออยล์ ผลิตภัณฑ์เพื่อคนรักสุขภาพ
โอกาสแห่งความสำเร็จไม่เคยปิดตายสำหรับผู้ที่มีความพยายาม และยังมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินไปยังเส้นทางอย่างเด็ดเดี่ยว แม้หนทางที่ต้องผ่านจะมีอุปสรรค และขวากหนามกั้นขวางอยู่มากน้อยเพียงใด
โลกของธุรกิจก็ไม่แตกต่างกัน มีพลาดพลั้งก็ต้องมีสมหวัง ขอเพียงแค่ไม่ยอมท้อถอย และนำประสบการณ์แห่งความผิดพลาดนั้นมาปรับประยุกต์ให้เป็นพลังในการสร้างสรรค์ธุรกิจต่อไป
สุรเดช นิลเอก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรอปิคานา ออยล์ จำกัด คือ หนึ่งตัวอย่างของความไม่ยอมแพ้ต่อความผิดหวัง จนสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโต และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งที่อยู่ในประเทศ และต่างประเทศ อีกทั้งยังมีโอกาสขยายธุรกิจไปได้อีกมากในอนาคต
พลิกวิกฤติเป็นโอกาส
สุรเดช เกริ่นนำถึงที่มาที่ไปของธุรกิจว่า ตนเองเริ่มต้นการทำธุรกิจจากการเป็นผู้พื้นรองเท้าเมื่อปี 2531 และได้รับการยอมรับจากคู่ค้าจากต่างประเทศเป็นอย่างดี แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเมื่อธุรกิจต้องได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตเศรษฐกิจที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสหรัฐสหรัฐอเมริกา และลุกลามไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก จากความที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ไม่ท้อถอย และมีความมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจ ทำให้ตนเองสามารถกลับมายืนบนเส้นทางของโลกธุรกิจได้อีกครั้ง กลับธุรกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
สำหรับธุรกิจใหม่ของตนเองนั้น เกิดขึ้นมาหลังจากที่ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นว่าเป็นสินค้าที่มีประโยชน์สูง และมีแนวโน้มที่ตลาดจะเติบโตไปได้อีกมาก ประกอบกับที่ครอบครัวมีกิจการทำสวนมะพร้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตนเองจึงสามารถนำผลิตผลที่ได้มาต่อยอดทำเป็นน้ำมันมะพร้าวได้ไม่ยาก โดยเริ่มต้นจากการผลิตสินค้าสู่โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ของรัฐบาล จนสามารถขยายธุรกิจ และก่อตั้งเป็น บริษัท ทรอปิคานา ออยล์ ขึ้นได้ในปี 2546 จนถึงปัจจุบัน
“ความไม่ยอมแพ้ และไม่ท้อถอย แม้ว่าธุรกิจการเป็นผู้ผลิตพื้นรองเท้าจะต้องถูกผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่ก็สามารถยืนขึ้นได้ด้วยโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างผสมผสานกับกิจการของครอบครัวที่ลงตัว ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ที่ได้จากน้ำมันมะพร้าว และต่อยอดแตกไลน์จนกลายเนผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย”
เน้นสร้างนวัตกรรมและ R&D ต่อเนื่อง
สุรเดช บอกต่อไปอีกว่า จุดเด่นของ ทรอปิคาน่า ออยล์ มาจากการที่บริษัทมีการคิดค้นพัฒนากรรมวิธีพิเศษในการสกัดน้ำมันมะพร้าวขึ้น มาเอง รวมถึงค้นคว้าวิจัยร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาลัยศิลปากร เพื่อให้เป็นสินค้าออร์แกนิค โดยใช้กรรมวิธีสกัดเย็น (Cold Pressed) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ได้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 100% มีการไล่ความชื้นของมะพร้าวก่อนที่จะแยกน้ำมันออกมา ทำให้น้ำมันมะพร้าวที่ได้มีกลิ่นหอม รับประทานง่ายขึ้น
นอกจากนั้น ยังสกัดน้ำมันมะพร้าวจากผิวกะลา(Kernel Coat Oil) สีเหลืองประกายทองซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาและป้องกันโรคมากกว่าการสกัดแบบทั่วไป และให้ความสำคัญต่อการวิจัย และพัฒนา (R&D) อยู่เสมออย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีต่อผู้บริโภค
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทจัดแบ่งออกเป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ 1.Tropicana Oil เน้นเจาะตลาด mass สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ,2.Kalapa เป็นสินค้า Premium เน้นจับตลาดระดับบน เพื่อการรักษาโรค และ 3.Rain and Shine เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ใช้ประกอบอาหาร โดยได้ส่งออกสินค้าไปขายในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รัสเซีย ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนลูกค้าของบริษัทแบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 70% และตลาดในประเทศ 30%
ขณะที่ทางด้านการบริหารนั้น บริษัทใช้ระบบซื้อขายแบบเงินสด และมีการหมุนเวียนของเสียในการผลิต (Zero Waste) ยกตัวอย่างเช่น กากแข็งของมะพร้าวก็นำไปทำเชือก พรม กระสอบ ไม้กวาด ส่วนกากอ่อนจะนำไปผสมมูลสัตว์เพื่อใช้ในการปลูกพืช ด้านกะลาจะนำมาทำเป็นถ่านกัมมันต์ เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนน้ำมะพร้าวจะนำไปขายให้กับโรงงานเครื่องดื่ม เรียกว่าทุกชิ้นส่วนของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
“ตนเองให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือสังคมอย่างมาก มีการให้ความรู้เรื่องออร์แกนิคกับชาวสวน โดยเป็นผู้จ่ายค่าดำเนินการและค่าตรวจมาตรฐานสวนออร์แกนิคให้กับทางเจ้าของสวนที่ขายมะพร้าวให้บริษัท และรับซื้อมะพร้าวโดยให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด ทำให้ชาวสวนมีรายได้เพิ่ม และส่งเสริมการทำสวนผักออร์แกนิคให้กับชุมชน จากความโดดเด่นทั้งหมดนี้ ทำให้ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12 ในมิติองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business Practice) มิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) และมิติการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) จากธนาคารไทยพาณิชย์”
เดินหน้าลุยตลาดทั้งในและต่างประเทศ
นายสุรเดช ยังได้กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในระยะถัดไปด้วยว่า ในปี 2560 จะมีการทำตลาดทั้งใน และต่างประเทศ โดยในส่วนของกลยุทธ์ในประเทศนั้น เราจะมีการวางระบบทางด้านการตลาด โดยการจัดตั้งหน่วยงานขายในประเทศ ซึ่งจะมีทีมฝ่ายขาย หรือเซลล์เป็นครั้งแรกของบริษัท จากเดิมที่บริษัทไม่เคยมีมาก่อน เพื่อวางเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกช่องทางจำหน่าย ทั้ง โมเดิร์นเทรด ร้านค้าส่งและค้าปลีก รวมถึงมีแผนกการขายทางด้านออนไลน์ เพื่อเจาะตลาดทาด้านดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้บริโภค
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันยังมีอีกหลายภูมิภาคที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไปทำตลาด เช่น ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยใช้วิธีการหาตัวแทนจำหน่ายที่มีวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับแผนของบริษัท เพราะจะความเชี่ยวชาญในตลาดประเทศนั้นๆมากกว่า
“จากกลยุทธ์ในการทำตลาดของบริษัททั้งในและต่างประเทศดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทปีนี้สามารถเติบโตขึ้นได้ในระดับ 30% จากในปี 2559 ที่ผ่านมา โดยเรายังมุ่งเน้นการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ เพื่อให้เกิดการเติบโตแบบยั่งยืนของธุรกิจเป็นสำคัญ”.