กรมศุลฯ ปรับปรุงระบบฮาร์โมไนซ์รับปี 2022
องค์การศุลกากรโลกได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized Commodity Description and Coding Systems: HS) ทุกๆ 4-6 ปี เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเฝ้าระวังสินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนการปรับปรุงเพื่อให้มีความเรียบง่ายและชัดเจนมากขึ้น โดยการปรับปรุงในรอบปัจจุบัน (HS 2022) กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป
นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีสมาชิกขององค์การศุลกากรโลกและเป็นภาคีอนุสัญญาระบบฮาร์โมไนซ์ ได้นำระบบการจำแนกประเภทสินค้าตามระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลกากรโลกมาใช้บังคับเมื่อปี พ.ศ. 2531 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 1 หลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากร และภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า โดยประเทศไทยในฐานะภาคีอนุสัญญาฯ ได้ดำเนินการแก้ไขระบบพิกัดศุลกากร
ให้เป็นไปตามการปรับปรุงแก้ไขของระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลกากรโลกมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมลงนามและรับพิธีสารว่าด้วย
การนำพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียนมาใช้ (Protocol Governing the Implementation of the ASEAN Harmonised Tariff Nomenclature) เมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนใช้พิกัดศุลกากรในระดับ 8 หลักร่วมกัน โดยพิกัดศุลกากร 6 หลักแรกเป็นไปตามระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลกากรโลก และ 2 หลักที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามความเหมาะสมภายในของกลุ่มสมาชิกอาเซียน
กรมศุลกากรได้เสนอการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 2
ให้สอดคล้องกับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized Commodity Description and Coding Systems: HS) และพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียน (ASEAN Harmonised Tariff Nomenclature: AHTN) ฉบับปี 2022 เพื่อให้เป็นไปตามข้อผูกพันอนุสัญญาระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลกากรโลกและพันธกรณี
ตามพิธีสารว่าด้วยการนำพิกัดอัตราศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียนมาใช้ ซึ่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2564 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประเภท ก ฉบับกฤษฎีกา เล่มที่ 138 ตอนที่ 82 ก ลงวันที่ 5 ธันวาคม 2564 โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
พระราชกำหนดฉบับนี้มีทั้งหมด 21 หมวด 97 ตอน มีจำนวนพิกัดศุลกากรทั้งสิ้น 11,414 รายการซึ่งเพิ่มจำนวนรายการจาก 10,813 รายการ ในฉบับปี 2017 ขึ้นมาจำนวน 601 รายการ หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 5.27 โดยมีการปรับปรุงพิกัดศุลกากรที่สำคัญ ได้แก่
- การกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรสำหรับสมาร์ทโฟน โมดูลจอแสดงผลแบบแบน เครื่องจักรสำหรับการผลิตแบบเพิ่มเนื้อวัตถุหรือเครื่องพิมพ์ 3 มิติ อากาศยานไร้คนขับหรือโดรน
- การกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรสำหรับแมลงที่บริโภคได้
- การกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรสำหรับเศษและของที่ใช้ไม่ได้ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-Waste)
- การกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรสำหรับสินค้าที่ใช้ได้ 2 ทาง (Dual-use Items) เช่น
ธาตุกัมมันตรังสีและไอโซโทป - การกำหนดประเภทพิกัดศุลกากรในระดับอาเซียนสำหรับข้าวโพดหวาน น้ำมะพร้าว น้ำกะทิ เครื่องแลกเงินตรา ยานยนต์สามล้อ รถกระบะ
พิกัดศุลกากรที่มีจำนวนรายการแก้ไขมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่
(1) ตอนที่ 87 (ยานบก) เพิ่มขึ้น 134 รายการ
(2) ตอนที่ 85 (อุปกรณ์ไฟฟ้า) เพิ่มขึ้น 74 รายการ
(3) ตอนที่ 44 (ไม้) เพิ่มขึ้น 39 รายการ
โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า ในการเตรียมความพร้อมสำหรับพิกัดศุลกากรฉบับใหม่
กรมศุลกากรได้จัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์และพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียน ฉบับปี 2022 ให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกและตัวแทนออกของ ให้มีความรู้ ความเข้าใจพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ขององค์การศุลกากรโลกและพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียน เพื่อให้การปฏิบัติพิธีการศุลกากรภายใต้พิกัดอัตราศุลกากรฮาร์โมไนซ์อาเซียนฉบับปี 2022 เป็นไปอย่างถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว ลดข้อขัดแย้งในการจำแนกประเภทพิกัดฯ ของสินค้า ลดภาระค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติพิธีการศุลกากร ซึ่งจะเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย