อิทธิพลของ Flexitarian ต่อวงการธุรกิจอาหาร
EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ อิทธิพลของ Flexitarian (การทานมังสวิรัติเป็นครั้งคราว) ต่อวงการธุรกิจอาหาร
การบริโภคแบบ มังสวิรัติ และวีแกน (Vegan) คือการไม่บริโภคเนื้อสัตว์แบบ Full-time ซึ่งค่อนข้างส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะผู้ไม่ทานเนื้อสัตว์อาจร่วมวงโต๊ะอาหารกับผู้อื่นลำบาก หาทานยาก จำเจบ้าง ไม่อร่อยบ้างจึงทำให้ผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่มนี้มักจะล้มเลิกความตั้งใจกลางคัน ทั้งนี้ปัจจุบันมี buzzword ใหม่ในวงการอาหารที่เรียกว่า Flexitarian หรือ การทานมังสวิรัติเป็นครั้งคราว คือกลุ่มคนที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์แต่ไม่ต้องการเลิก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อวงการอาหารจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ที่ผู้ประกอบการไทยไม่ควรเพิกเฉยอีกต่อไป
หากย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนการไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลยนั้นยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก แต่ในยุคปัจจุบันเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่าง มังสวิรัติ และ วีแกน ซึ่งสองกลุ่มนี้คล้ายกันแต่ไม่เหมือน มังสวิรัติ คือการไม่บริโภคเนื้อสัตว์แต่บริโภคนมและไข่ ส่วน วีแกน คือกลุ่มคนที่ไม่บริโภคผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ ทั้งนี้อาหารสำหรับชาวมังสวิรัติบางจำพวก ชาววีแกนอาจไม่สามารถรับประทานได้ แต่ชาวมังสวิรัติสามารถรับประทานอาหารวีแกนได้ทุกประเภท ซึ่งทั้งสองกลุ่มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดจากยอดขายอาหารวีแกนทั่วโลก ในปี 2018 สูงถึง 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เติบโตกว่า 5%YOY)
นอกจากนี้มีผู้สนใจค้นหาคำว่า Veganism บน Google ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 26% ต่อปี จากปี 2015 ถึงปัจจุบัน (2019)
ผู้บริโภคปัจจุบันช่างเลือก ใส่ใจ และตระหนักถึงผลกระทบหลากหลายมิติจากการใช้จ่ายของตน หรือที่เรียกว่า“Conscious consumer” ไม่แปลกที่ความนิยมไม่กินเนื้อสัตว์จะสูงขึ้น เพราะไม่ใช่แค่เหตุผลทางด้านความเชื่อเท่านั้นแต่พวกเขาใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ ตระหนักถึงสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคจึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของตนโดยหลีกเลี่ยงหรือลดการบริโภคเนื้อสัตว์
งานวิจัยโดย Humane Research Council พบว่า 5 ใน 6 ของกลุ่มคนทานมังสวิรัติและวีแกนล้มเลิกความตั้งใจกลางคัน[1] สาเหตุเกิดจากการบริโภคแบบ Full-time นั้น อาศัยความอดทนอย่างมาก ทำได้ยาก และรบกวนวิถีชีวิตประจำวัน เช่น การไม่บริโภคเนื้อสัตว์ในร้านอาหารทั่วไปปัจจุบันมีตัวเลือกน้อย เมนูจำเจ ไม่อร่อยนัก และยังมีอีกหลายร้านที่ไม่มีเมนูสำหรับชาวมังสวิรัติและวีแกนเลย ปัจจุบันคนส่วนมากจึงหันมาบริโภคแบบ “Flexitarian” ซึ่งคือการบริโภคมังสวิรัติเป็นครั้งคราวมากขึ้น
Flexitarian คือการกินแบบ Vegetarian แต่ Flexible คนกลุ่มนี้พยายามลดการบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เป็นการทานบางอย่าง ไม่ทานบางอย่าง เดี๋ยวทานบ้าง เดี๋ยวไม่ทานบ้าง ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น บางกลุ่มเลือกที่จะไม่ทานเพียงเนื้อแดงเท่านั้น บางกลุ่มไม่ทานนม หรือ ไข่ บางกลุ่มเลือกที่จะทานวีแกนบางมื้อหรือบางวัน เช่นMeatless Monday หรือ Veganuary ที่ทานแค่เดือนมกราคมของทุกปีเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มลด แต่ไม่เลิกบริโภคเนื้อสัตว์ สถาบันวิจัยตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคระดับโลกอย่างMintel ก็ได้ออกมายืนยันว่าการกินแบบ
ความสนใจต่อร้านอาหารทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ในไทยเติบโตต่อเนื่อง เมื่อดูข้อมูลจาก Google trends พบว่าตั้งแต่ 15/12/2014 ถึง 15/12/2019 มีการค้นหาร้านอาหารมังสวิรัติและวีแกนในประเทศไทย[2] สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ของทุกปีที่จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะ ในช่วงต้นปีมักมีจำนวนชาวต่างชาติเดินทางเข้ามายังไทยจำนวนมาก เห็นได้จากจังหวัดที่มีการค้นหาบน Google สูงสุด 5 จังหวัดคือกระบี่, ภูเก็ต, เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี และกรุงเทพฯ ตามลำดับ ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวหลักที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหนาแน่น
ผู้ประกอบการในวงการอาหารจึงควรคำนึงถึงกระแส Flexitarian เพื่อตอบโจทย์ Conscious consumer มากขึ้น การบริโภคแบบกึ่งมังสวิรัตินั้นทำได้ง่ายและค่อนข้างยืดหยุ่นกว่าการบริโภควีแกนและมังสวิรัติแบบ Full-time มาก จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย กล่าวได้ว่าความต้องการบริโภคอาหารมังสวิรัติและวีแกนนั้นสูงขึ้นจากอิทธิพลของชาวFlexitarian ที่มีความพยายามลดปริมาณเนื้อสัตว์ในชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งร้านอาหาร Fast food ชั้นนำของโลกอย่าง KFC ที่ขายเมนูเนื้อสัตว์เป็นหลัก ยังจับกระแสการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ โดยเพิ่มเมนู Veggie Burger ในหลายประเทศ ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับและความสนใจอย่างมากทั้งจากชาวมังสวิรัติ วีแกน และ Flexitarian ในประเทศไทยเองร้านอาหารอย่าง Sizzler ที่เน้นเสิร์ฟสลัดกับสเต๊ก ก็ได้เพิ่มเมนูเนื้อที่ทำจากพืชเข้ามาตอบรับกระแสนี้เช่นกัน
จะเห็นได้ว่า กระแสดังกล่าวไม่เพียงสนับสนุนให้ร้านอาหารเฉพาะทางสำหรับผู้ไม่บริโภคเนื้อสัตว์เติบโตแล้ว แต่ยังเป็นทางเลือกสำหรับร้านอาหารทั่วไปสามารถปรับตัวตอบรับกับกระแส Flexitarian ได้เช่นกัน ทั้งนี้ทาง EIC เห็นว่าร้านอาหารที่ไม่ว่าจะเป็นคนทานเนื้อสัตว์ Flexitarian มังสวิรัติ หรือวีแกนก็สามารถร่วมโต๊ะอาหารกันได้อย่างเอร็ดอร่อยน่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น หากพิจารณาร้านอาหารในปัจจุบันส่วนใหญ่จะพบอาหารสำหรับชาวมังสวิรัติและวีแกนเพียงไม่กี่เมนูต่อร้าน เป็นเมนูจำเจ และมักไม่ใช่อาหารจานหลัก เช่น สลัด ผัดผัก และอาหารทานเล่นอย่างเฟรนช์ฟรายส์ เป็นต้น ทั้งนี้ร้านอาหารควรมีความหลากหลายของเมนู
สำหรับผู้ไม่ทานเนื้อสัตว์ และมีการชี้แจงส่วนผสมของอาหารแต่ละจาน พร้อมทั้งแสดงสัญลักษณ์ระบุประเภทของอาหาร เช่น มังสวิรัติ หรือ วีแกน ก็จะสามารถเพิ่มความโปร่งใสและช่วยในการตัดสินใจสำหรับผู้บริโภคได้ ความท้าทายของผู้ประกอบการอยู่ที่การทำการตลาดเพื่อสื่อสารถึงความหลากหลายของรายการอาหาร และทำให้ร้านเป็นที่สังสรรค์สำหรับผู้บริโภคหลากหลายรูปแบบทั้งผู้บริโภคเนื้อสัตว์และผู้ที่ไม่บริโภค
นับเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในไทย ที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งผู้บริโภคชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ทั้งกลุ่ม วีแกน มังสวิรัติ และ Flexitarian