คลังเกาะเศรษฐกิจรายวัน พร้อมเพิ่มมาตรการฟื้นฟู

รองฯสุพัฒนพงษ์ นัด “คลัง-สภาพัฒน์” ร่วมถก! แก้ปมเศรษฐกิจไทย ยืนยันรัฐบาลเตรียมผุดมาตรการฟื้นฟูเพิ่มเติม ด้าน “ปรีดา ดาวฉาย” ยอมรับ บทบาทคลังเปลี่ยนไป ระบุ! พร้อมเกาะติดดูแลสถานการณ์เศรษฐกิจทุกวัน ย้ำ! ไทยไม่มีทางถังแตก! ขณะที่ เลขาสภาพัฒน์ แจง! การเกิดขึ้นของ ศบศ. ยุติบทบาท “ครม.เศรษฐกิจ” ชั่วคราว

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นัดหมาย นายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ มาหารือที่กระทรวงการคลัง เมื่อช่วงสายวันที่ 17 ส.ค.2653 ก่อนเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยก่อนหน้านี้ นายปรีดี ทำหน้าที่ประธานการประชุมมอบนโยบายผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลัง ณ ห้องประชุมวายุภักดิ์ 4 กระทรวงการคลัง
นายสุพัฒนพงษ์ ระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยขณะนี้ ถือเป็นภาวะความไม่แน่นอนจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยากต่อการบริหารจัดการ เพราะหากเป็นเพียงภาวะความเสี่ยง รัฐบาลยังพอประเมินสถานการณ์และวางแผนรับมือได้ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องดูแลภาคเศรษฐกิจ ในลักษณะของการผ่อนคลายมาตรการที่เคยเข้มงวด ควบคู่กับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ทั้งนี้ การที่นายกรัฐมนตรีจัดตั้ง ศูนย์บริหารเศรษฐกิจ (ศบศ.) ขึ้นมา โดยรวบรวมหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคธุรกิจเอกชนเข้าไว้ด้วยกัน จะช่วยให้เกิดการบูรณาการในการทำงาน อย่างรอบด้าน และลดขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติโครงการ ก่อนนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดแนวทางการทำงาน 5 ข้อ และการดูแลธุรกิจใหม่ๆ อาทิ การเร่งเยียวยาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและประชาชน, สร้างช่องทางช่วยเหลือประเทศอย่างยั่งยืน ใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพและมีประโยชน์สูงสุด, สร้างแรงจูงใจภาคธุรกิจให้คงการจ้างงานเอาไว้, วางแผนจัดจ้างงานกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ และให้เน้นทำงานด้วยความซื่อสัตย์

“แนวทางการดำเนินงานในลักษณะ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่นายกรัฐมนตรีจัดตั้งขึ้นมา จะเป็นกรอบความคิดในการทำงานของ ศบศ. ซึ่งจากนี้ไป จะต้องมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากที่รัฐบาลเคยประกาศไปก่อนหน้านี้ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบอีกที แต่ยืนยันว่ารัฐบาลได้เตรียมมาตรการเพิ่มเติมอย่างแน่นอน” รองนายกฯสุพัฒนพงษ์ ย้ำ
ด้าน เลขาธิการสภาพัฒน์ เสริมว่า ศบศ. ที่มี นายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ และดึงเอาหน่วยงานสำคัญๆ เช่น กระทรวงเศรษฐกิจ มหาดไทย แรงงาน สาธารณสุข เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้แทนจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน และนักธุรกิจชั้นนำ ร่วมเป็นกรรมการ ถือเป็น คณะกรรมการชุดใหญ่ ที่ดูแลในภาพรวม เมื่อได้ข้อสรุปจะนำเข้าที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบ ขณะเดียวกัน ยังมี คณะกรรมการชุดปฏิบัติการในการขับเคลื่อนแผนงาน ที่มี นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นประธานฯ และมีผอ.สำนักงบประมาณ ปลัดกระทรวง ผู้ว่า ธปท. ฯลฯ คอยทำหน้าที่กลั่นกรองและดำเนินการในขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ยังมี คณะอนุกรรมการอีก 3 ชุด ทำหน้าที่วิเคราะห์และเสนอแนะมาตรการบริหารเศรษฐกิจทั้งในระยะสั่น ระยะยาวและปานกลาง และคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และสนับสนุนข้อมูลเศรษฐกิจรายสาขา

“รองนายกฯวิษณุ เครืองาม แสดงความเห็นว่า การเกิดขึ้นของ ศบศ.ที่รวบรวมส่วนราชการต่างๆ และภาคเอกชนเข้าไว้ด้วยกัน สามารถบูรณาการการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องมี ครม.เศรษฐกิจอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้” เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุ
ขณะที่ นายปรีดา กล่าวว่า บทบาทและภารกิจของกระทรวงการคลังหลังจากมี ศบศ. จะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างแน่นอน ด้วยข้อจำกัดที่กำลังประสบอยู่ คือ การที่ภาวะเศรษฐกิจหดตัว เพราะไทยพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวมากเกินไป สถานการณ์ปัญหาการว่างงาน และ การที่มีเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีอย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ กระทรวงการคลังได้เกาะติดมาโดยตลอดและตามดูอยู่ทุกวัน จนกว่าทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจำเป็นจะต้องรักษาเสถียรภาพด้านการคลัง ด้านระบบการเงินและสถาบันการเงิน ให้เป็นหลักของประเทศ ควบคู่กับการทำงานของ ธปท. พร้อมกันนี้ ยังจะดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

“ส่วนตัวไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในภาวะถังแตก! เพราะบางช่วงเวลารัฐบาลมีการจัดเก็บรายได้ ทำให้กระแสเงินสดและเงินคงคลังมีเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่บางช่วงเน้นการใช้จ่าย โดยเฉพาะช่วงต้นของปีงบประมาณ กระแสเงินสดย่อมต้องเหลือไม่มากเป็นธรรมดา แค่ทุกอย่างสามารถบริหารจัดการได้” รมว.คลัง ย้ำ
สำหรับ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ของ ธปท.ที่ยังมีปัญหาเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนนั้น นายปรีดี กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับ ศบศ.ในวันที่ 19 ส.ค.นี้ น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งการมี ศบศ. จะช่วยลดขั้นตอนการดำเนินงานได้มากขึ้น ซึ่งการที่ตนมาจากการภาคเอกชนและมีส่วนร่วมในข้อเสนอต่างๆ ก่อนหน้านี้ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการทำงานร่วมกันในอนาคต.