AFMGM+3 ชี้! จีดีพีอาเซียนฟื้น! แต่ไทยโต 2.3%
“อาคม” ร่วมประชุมออนไลน์ AFMGM+3 ครั้งที่ 24 พร้อมเรียกร้องชาติสมาชิกอาเซียน+3 หนุนพัฒนาพันธบัตรของภูมิภาคฯ พ่วงออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน สร้างโครงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านที่ประชุม AFMGM+3 ได้ข้อสรุป 4 ข้อ คาด! จีดีพีโลกขยายตัว 6% ในปีนี้ และ 4% ในปีหน้า ขณะที่ให้ค่าจีดีพีไทยโตแค่ 2.3% และ 4.8% ในปี 64 และ 65 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของชาติอาเซียนที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะ โฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุม “รมต.คลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3” (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) ครั้งที่ 24 ที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้เข้าร่วม เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ในรูปแบบการประชุมทางไกล โดยมี รมว.คลังและผู้ว่าการธนาคารกลางสาธารณรัฐเกาหลีและบรูไนดารุสซาลาม เป็นประธานร่วม โดยได้ หารือประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจและความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาคอาเซียน+3 สรุป ดังนี้
1. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค ที่ประชุมฯได้รับทราบรายงานเศรษฐกิจจาก ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ซึ่งเห็นพ้องว่า ทิศทางเศรษฐกิจของโลกและของภูมิภาคจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในปี 2564 เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนในจำนวนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
โดย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 6 และ ในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4 ขณะที่ AMROคาดการณ์ว่าภูมิภาคอาเซียน+3 จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยขยายตัวที่ร้อยละ 6.7 และร้อยละ 4.9 ในปี 2564 และ ปี 2565 ตามลำดับ อีกทั้งคาดว่า ประเทศไทยจะเติบโตที่ร้อยละ 2.3 ในปี 2564 และร้อยละ 4.8 ในปี 2565
โดยทั้ง 3 องค์กรมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในทิศทางเดียวกัน คือ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ควรมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม มีเสถียรภาพและยั่งยืนเป็นสำคัญ อาทิ สร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึงวัคซีนทั่วถึงโดยเร็ว สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation) สนับสนุนการใช้ทรัพยากรภายในประเทศ (Domestic Resources) ปรับปรุงระบบภาษีและความร่วมมือทางภาษี และส่งเสริมการเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นต้น
นอกจากนี้ เลขาธิการอาเซียน ได้กล่าวเน้นให้ ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 พัฒนาระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window) ให้ครอบคลุมและไร้รอยต่อ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนในภูมิภาค ควบคู่กับความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในอาเซียน (ASEAN Payment Connectivity) เพื่อเปิดประตูสู่โลกใหม่ของการชำระเงิน ลดต้นทุนธุรกรรมทางการเงิน และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป
2. มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ที่ประชุมฯ ยินดีกับความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพของ CMIM โดยความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งจะทำให้สมาชิกได้รับความช่วยเหลือทางการเงินในส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF (De-linked Portion) เพิ่มมากขึ้นจากเดิมร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 ของวงเงินที่จะได้รับความช่วยเหลือสูงสุด
อีกทั้ง ประเทศสมาชิกยังสามารถใช้เงินสกุลท้องถิ่นสมทบเงินใน CMIM ได้ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯได้รับทราบความคืบหน้าการกำหนดทิศทางการเพิ่มประสิทธิภาพ และการปรับปรุงเอกสารแนวปฏิบัติเพื่อใช้ประกอบความตกลง CMIM
3. มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) ที่ประชุมฯได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของ ABMI เพื่อส่งเสริมตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง รวมถึง โครงการให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่ประเทศสมาชิก อาทิ การดำเนินการของหน่วยงานการค้ำประกันเครดิตและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน+3 (Credit Guarantee and Investment Facility: CGIF) การใช้ตราสารหนี้เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
4. ทิศทางการดำเนินการในอนาคตของกรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 โดย ที่ประชุมฯได้รับทราบการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาความเป็นไปได้ของมาตรการริเริ่มใหม่ๆ อาทิ การจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากลไก เพื่อรองรับปัญหาด้านมหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้าง การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบายเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งนี้ เพื่อขยายความร่วมมือทางการเงินให้ครอบคลุม และส่งเสริมความเจริญเติบโตของภูมิภาคอาเซียน+3 และสอดคล้องกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
ในการนี้ นายอาคมฯ ได้กล่าวในที่ประชุมฯ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมและยั่งยืน และสนับสนุนการพัฒนาพันธบัตรของภูมิภาคอาเซียน+3 ด้วยการส่งเสริมการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อเป็นการระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนในเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการออกพันธบัตรดังกล่าว โดยขณะนี้พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนนี้ได้รับการจดทะเบียนใน Luxembourg Green Exchange (LGX) ของตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก และมีการออกพันธบัตรแล้วทั้งสิ้น 1 แสนล้านบาท และจะนำเงินที่ได้จากพันธบัตรไปใช้เป็นเงินทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของประเทศจาก COVID-19 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป
โฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า การประชุม AFMGM+3 ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ในการพัฒนาและยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันที่เร่งให้มีการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเสียหายของชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 พร้อมทั้งส่งเสริมการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล และการเป็นเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืนของประเทศไทยในอนาคต.