“อาเซม”ยลแผนสู้โควิดฯจากไทย หวั่นระบาดรอบ 2 ฉุดแรง!
วงถก รมต.คลังเอเชีย-ยุโรป #14 หวั่น โควิดฯระบาดรอบ 2 ฉุดเศรษฐกิจ-สังคมทรุดยาว พร้อมเสนอมาตรการพื้นฐาน ด้านการเงินและการคลัง แก้ปัญหา ด้าน “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” แจงต่อที่ประชุมฯ พร้อมถอดแผนรับมือไวรัสฯ ให้ชาติสมาชิกและองค์กรระดับโลก ยลความสำเร็จของรัฐบาลไทย
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะ รองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผล การประชุม รมต.คลังเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Finance Ministers’ Meeting: ASEM FinMM) หรือ “อาเซม” ครั้งที่ 14 ในรูปแบบการประชุมทางไกล ซึ่ง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.รคลัง เข้าร่วมประชุมฯครั้งนี้ จากห้องประชุม รมว.คลัง กระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา
โดยการประชุม “อาเซม” ครั้งนี้ มี นาย A H M Mustafa Kamal) รมต.คลัง สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เป็นประธาน พร้อมด้วย ผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกอาเซม ทั้งจากยุโรป และเอเชีย รวม 43 ประเทศ รวมถึง ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป สำนักเลขาธิการอาเซียน ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ มูลนิธิเอเชีย-ยุโรป และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 เข้าร่วมการประชุมฯ
สำหรับหัวข้อหลักที่ใช้ในการหารือ คือ การสร้างความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งยั่งยืนทั่วถึงและสมดุลจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (Addressing COVID-19: Ensuring a Strong,Sustainable, Inclusive and Balanced Recovery) โดยมีสาระที่สำคัญ ดังนี้
1. การระบาดของCOVID-19 นำมาซึ่งความท้าทายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ต่อนานาประเทศทั่วโลก ทั้งยังได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการจ้างงาน รายได้ การประกอบธุรกิจ การลงทุน การค้า และวิถีการดำรงชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเปราะบางรวมไปถึงผลกระทบต่อความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) โดยที่ประชุมฯได้แสดงความกังวลถึงผลกระทบที่เกิดจากการระบาดระลอก 2 ที่มีต่อประเทศสมาชิก
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯได้มีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจาก COVID-19 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน โดย ผู้แทนจากธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้นำเสนอภาพรวมการรับมือกับ COVID-19 ของประเทศต่างๆ พร้อมเสนอให้ใช้นโยบายการทางการเงินและการคลังมาใช้เป็นมาตรการพื้นฐาน ซึ่งส่งผลกระทบถึงความท้าทายในการรักษาระดับหนี้สาธารณะและความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ
นอกจากนี้ ได้มีข้อเสนอแนะในการให้ความสำคัญกับการนำ ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล มาปรับใช้ และ พัฒนาขีดความสามารถของแต่ละประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้ง การให้ความสำคัญกับความร่วมมือกันระหว่างประเทศ เพื่อก้าวข้ามวิกฤตทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด(Least Developing Countries)
และ 2. การประชุม ASEM FinMM ในครั้งนี้ ประเทศสมาชิกได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือและการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19
โดยในส่วนของประเทศไทย นายอาคม ได้กล่าวต่อที่ประชุมถึงมาตรการที่รัฐบาลไทยใช้ในการรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(ศบค.) และ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการด้านนโยบายการรับมือและกระตุ้นเศรษฐกิจ การออกมาตรการการเงินและการคลังเพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
อาทิ เงินช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ของธนาคารพาณิชย์แก่บริษัทและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ เป็นต้น โดยมาตรการเหล่านี้ล้วนมีการดำเนินการอย่างระมัดระวังภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง
พร้อมกันนี้ ยังได้ชี้แจงต่อที่ประชุมเพิ่มเติมถึง ความจริงจังของประเทศไทยในการรักษาความสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศในระยะยาว ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจท้องถิ่นให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากยิ่งขึ้น
โดยมุ่งที่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเสริมสร้างการเชื่อมโยงภายในประเทศและระหว่างประเทศ และ การพัฒนาการใช้ระบบดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเงินให้ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ใช้งานในแต่ละกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยระบบดิจิทัลจะช่วยให้การติดต่อสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในการดำเนินการ และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ โดยการทบทวน การปฏิรูประบบภาษีให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศ และเอื้อต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ตลอดจนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว นอกจากนี้ จะมีการพิจารณามาตรการระยะยาวเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทางสังคม อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือกับวิกฤต COVID-19 ของประเทศสมาชิกแสดงให้เห็นว่า การบรรเทาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม การควบคุมและป้องกันการระบาด การประคับประคองผู้ประกอบการและธุรกิจ และการคิดค้นและแสวงหาแนวทางการรับมือ COVID-19 ที่ยั่งยืน ล้วนเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญ และเอเซมยังคงเชื่อมั่นในการสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งและความเข้าใจอันดีระหว่างกันของ 2 ภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศสมาชิกล้วนประสบกับความยากลำบาก และความท้าทายอันเกิดจาก COIVD-19
อนึ่ง การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวของไทย เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการเมืองการต่างประเทศและความมั่นคง ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของไทยในหลากหลายมิติ และผลักดันให้เกิดความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง รวมไปถึง ส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับต่างประเทศ เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป.