ไนกี้ฟื้นในจีน ยอดขายออนไลน์พุ่ง 82%
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. หุ้นของแบรนด์ไนกี้พุ่งขึ้น 13% ในการซื้อขาย หลังจากบริษัทรายงานยอดขายออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 82% และมีแนวโน้มว่าดีมานด์จะปรับขึ้นอีกในช่วงวันหยุดยาว
โดยบริษัทได้พลิกวิกฤตไวรัสโคโรนาให้กลายเป็นโอกาสในการทำธุรกิจแบบดิจิทัล และแผนกเสื้อผ้าหญิงมีการเติบโตเกือบ 200% ขณะที่ผู้ปกครองเตรียมเสื้อผ้าให้ลูกๆสวมใส่ไปโรงเรียน และธุรกิจฟื้นตัวขึ้นในตลาดสำคัญอย่างจีน โดยไนกี้ระบุว่า แบรนด์จอร์แดน “แข็งแกร่งกว่าที่เคย”
บริษัทยังได้รายงานแนวโน้มของปีงบประมาณ 2564 โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายจะเติบโตขึ้นอีก สวนทางกับแบรนด์คู่แข่งที่หลีกเลี่ยงจะเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์
“ เรารู้ดีว่าโลกดิจิทัลเป็นชีวิตวิถีใหม่ ผู้บริโภคในวันนี้ส่วนใหญ่มาจากออนไลน์และจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก” จอห์น โดนาโฮ ซีอีโอระบุในการรายงานตัวเลขรายได้
ในไตรมาสแรกที่สิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค. รายได้สุทธิอยู่ที่ 1,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยรายได้ของไนกี้ลดลง 0.6% มาอยู่ที่ 10,590 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ 10,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อปีก่อน แต่ยังสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์คือ 9,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัทระบุว่า ยอดขายในจีนเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่รายได้ในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไนกี้ปรับลดลง 2% แต่ยอดขายในอเมริกาเหนือจำนวน 4,230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงสูงกว่าการทำนายของนักวิเคราะห์คือ 3,390 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่ผ่านมา ไนกี้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าผ้าใบรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯมีการลงทุนทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือและสโตร์ของตัวเอง
ชัดเจนว่าสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เร่งให้ศักยภาพการขายในโลกออนไลน์ของไนกี้เติบโตขึ้น โดยบริษัทระบุว่า ยอดขายดิจิทัลในปัจจุบันคิดเป็นอย่างน้อย 30% ของยอดขายต่อไตรมาส โดยก่อนหน้านี้ บริษัทตั้งเป้าว่า
ยอดขายออนไลน์จะเติบโตภายในปี 2566
“ ไนกี้กำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากโมเมนตัมของแบรนด์และการเติบโตในโลกดิจิทัล” แมตต์ เฟรนด์ ซีเอฟโอระบุเมื่อวันที่ 22 ก.ย.
เมื่อมองไปข้างหน้าถึงช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2564 เฟรนด์คาดการณ์ว่ารายได้จะค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเขาระบุว่า ดีมานด์จะพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากผู้บริโภคหันกลับไปซื้อสินค้าราคาเต็ม ช่วยหนุนให้ไนกี้บรรลุตัวเลขคาดการณ์ของทั้งปี
ทั้งนี้ หุ้นของไนกี้ในตลาดปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 15% และมูลค่าของบริษัทตามราคาตลาดอยู่ที่ 182,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ