CHOW รับทรัพย์ขายโรงไฟฟ้าให้ญี่ปุ่นกว่า 500 ลบ.
เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ เผยได้ขายโรงไฟฟ้าให้กองทุนญี่ปุ่น 4 โครงการ มูลค่า กว่า 500 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจเหล็ก หันมารับจ้างผลิต เพื่อลดปัญหาผลกระทบจากทั้งราคาเหล็กและวัตถุดิบผันผวนในปัจจุบัน
นายศุภชัย ยิ้มสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW เปิดเผยว่าตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทฯ ดำเนินการเข้าทำธุรกรรมการขายทรัพย์สินประเภทโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 5.86 เมกะวัตต์ประกอบด้วย โครงการ กิฟุ, ฟุกุย1, ฟุกุย5, ฟุกุย6 และฟุกุย7ให้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่นนั้น ขณะนี้บริษัทฯ ได้รับเงินค่าขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโครงการ 4 โครงการ กำลังการผลิตติตั้งรวม 5.38 เมกะวัตต์ ได้แก่ ฟุกุย1, ฟุกุย5, ฟุกุย6และฟุกุย7 จากกองทุนญี่ปุ่นแล้วจำนวน 1,747.00 ล้านเยน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือประมาณ 505.23 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562
สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนในปีนี้นอกเหนือจากการขายโครงการให้กับกองทุนญี่ปุ่นเพื่อสร้างผลกำไรตามนโยบายของบริษัทฯแล้วยังคงเดินหน้าผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และ แสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1 โครงการ ขนาด 7.2 เมกะวัตต์ดีซี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2562 และ ยังมีโครงการอยู่ในระหว่างการพัฒนาอยู่อีก 1 โครงการมีขนาด 12 เมกะวัตต์ดีซีซึ่งจะสะท้อนให้ธุรกิจพลังงานเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
ในขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาวหลังจากได้ปรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจหันมารับจ้างผลิตให้กับลูกค้ารายใหญ่แทนปริมาณปีละ 400,000 ตัน เพื่อลดปัญหาผลกระทบจากทั้งราคาเหล็กและวัตถุดิบผันผวนในปัจจุบัน จะเริ่มส่งมอบสินค้าได้ในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนั้นการวางแผนปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนารูปแบบการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่ที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมความผันผวนของราคาวัตถุดิบและส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นนั้นเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นได้ในปีนี้
“ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งธุรกิจพลังงานทดแทนและธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาวซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าหาลู่ทางในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา หลังจากที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาวได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ให้มีรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเรื่องความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งเชื่อว่าจะเห็นผลในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในปีนี้” นายศุภชัยกล่าว