“บ้านปู” ปลื้ม รายได้ไตรมาสแรกเฉียด 2 หมื่นลบ.
บ้านปู ปลื้ม ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2563 มีรายได้ 19,806 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,721 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 633 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,806 ล้านบาท) ลดลงจำนวน 66 ล้านเหรียญสหรัฐจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ประมาณ 2,065 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 9 โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 134 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,193 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,721 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“แม้วิกฤตโควิด-19 จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงในวงกว้างในไตรมาสแรกของปี 2563 แต่บ้านปูฯ ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 10 ประเทศได้อย่างราบรื่นด้วยระบบการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ที่มีประสิทธิภาพ โดยจัดเตรียมแผนปฏิบัติการในภาวะวิกฤตและเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ การกำหนดมาตรการให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่พัก พนักงานของเรากว่า 6,000 คนมีความปลอดภัยและสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและนโยบายของรัฐบาลในทุกประเทศที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ”
“ ซึ่งผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ มีความพร้อมในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและปรับเปลี่ยนธุรกิจที่มีอยู่เดิมให้สอดรับกับ New Normal ที่มีผลต่อแนวโน้มการใช้พลังงานในอนาคต รวมทั้งการใช้พลังงานภาคประชาชนที่สูงขึ้น เพื่อให้ทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้จากทุกที่ และ New Normal นี้จะเป็นบททดสอบสำคัญในการสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต”
สำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2563 การผลิตถ่านหินยังคงเดินหน้าได้ตามปกติ มีปริมาณการผลิตตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น จากการบริหารจัดการด้านการผลิตและการคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้มีศักยภาพการผลิตก๊าซที่ดีขึ้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนสัญญาซื้อขายแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกระแสเงินสดให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ ขณะที่ยังสามารถสร้างการเติบโตทางการผลิตได้ตามแผน
ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานมีการเติบโตที่ดี โดยโรงไฟฟ้าหงสาและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังคงเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากรายงานดัชนีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) กว่าร้อยละ 90 เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนและญี่ปุ่น ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มีการขยายพอร์ตเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท Sunseap Group Pte. Ltd. (Sunseap) ผู้นำธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคาของสิงคโปร์ ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 48.6 จากเดิมร้อยละ38.5 และทำให้บ้านปูฯมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ760 เมกะวัตต์ (จากระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและโซลาร์ฟาร์ม)
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการผ่านแอพลิเคชัน รวมถึงเดินหน้าผนึกความร่วมมือกับ “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” (ปณท) เปิดตัวโครงการการบริหารจัดการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพิ่มศักยภาพการขนส่งพัสดุให้สะดวก รวดเร็ว ทั้งยังประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา บริษัทฯ ดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายทั่วทั้งองค์กร และกลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยเฉพาะการบริหารกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน บ้านปู ยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในฐานะบริษัทพลังงานครบวงจรที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหรือนวัตกรรมพลังงานที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า ตอบโจทย์ New Normal ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งก้าวไปพร้อมกับเทรนด์ด้านพลังงานแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบกักเก็บพลังงานเพื่อเป็นแหล่งสำรองไฟฟ้า ระบบไมโครกริดเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้า โมไบล์แอปสำหรับตรวจสอบการทำงานของแผงโซลาร์เซล การใช้เทคโนโลยีเอไอในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นต้น