มูลค่าการซื้อขายเบาบางเนื่องจาก ใกล้ช่วงวันหยุดสิ้นปี
SCB Chief Investment Office (SCB CIO) วิเคราะห์ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ และมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากใกล้ช่วงวันหยุดคริสต์มาส และวันหยุดสิ้นปี
ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก จากความคืบหน้าการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลัง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยืนยันว่า สหรัฐฯ-จีนจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรก ในเดือนม.ค. และดัชนีฯได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งมากกว่าตลาดคาด
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเช่นกันขานรับการที่ธนาคารกลางสวีเดนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คงนโยบายการเงินตามที่ตลาดคาด ประกอบกับประเด็นการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ที่มีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดลบ จากแรงขายในหุ้นกลุ่มส่งออก ตามเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น เทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับยอดการส่งออกของญี่ปุ่น ในเดือน พ.ย. ปรับลดลงเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน ด้านตลาดหุ้นจีน (A-share) ปรับเพิ่มขึ้น ขานรับความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ประกอบกับ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีน ในเดือน พ.ย.ดีกว่าตลาดคาด รวมทั้ง ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะ 14 วันลง 0.05%
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ขณะที่ ราคาน้ำมัน ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านราคาทองคำ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐฯที่ปรับลดลง
ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง โดยในบางตลาดฯ อาจเผชิญความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไร เนื่องจาก นักลงทุนบางส่วนมีแนวโน้มชะลอการซื้อขายในช่วงวันหยุดคริสต์มาส และช่วงใกล้วันหยุดสิ้นปี ประกอบกับ ตลาดหุ้นฯ ยังอาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจาก 1) ประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ยุโรปที่เพิ่มขึ้น ทั้งการเก็บภาษีดิจิทัล
ภาษียานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้ง ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการอุดหนุนแอร์บัส 2) ความไม่แน่นอนในประเด็น Brexit ที่กลับมาเพิ่มขึ้น หลังสภาล่างของอังกฤษเห็นชอบในหลักการต่อร่างกฎหมาย Brexit ที่ถูกเสนอโดย นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ทำให้อังกฤษมีเวลาเพียง11 เดือนในการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ให้สำเร็จ มิเช่นนั้น อังกฤษจะต้องใช้เกณฑ์การค้าของ WTO ค้าขายกับ EU แทน และ 3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯที่ยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ดี การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่คืบหน้า โดยอาจจะลงนามกันในช่วงต้นเดือน ม.ค.2020 จะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นฯ ให้กลับมาปิดทรงตัวในสัปดาห์นี้
เหตุการณ์สำคัญ (KEY EVENTS)
· ติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลัง รมว.คลังสหรัฐฯออกมายืนยันว่า สหรัฐฯ จะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน ในช่วงต้น เดือน ม.ค.2020 ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ ออกมาทวีตว่า ได้หารือกับปธน.สี จิ้นผิงของจีน ในข้อตกลงการค้า รวมประเด็นเกาหลีเหนือ และฮ่องกง
· ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯที่ยังมีอยู่ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯเตรียมพิจารณา และลงมติถอดถอนปธน.ทรัมป์ ในเดือน ม.ค.2020 ในข้อหาการใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางการสอบสวนของสภาคองเกรส
· การเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลอังกฤษ-EU หลังสภาล่างอังกฤษได้ลงมติให้ความเห็นชอบในหลักการต่อร่างกฎหมายที่ระบุว่า อังกฤษจะแยกตัวจาก EU ในวันที่ 31 ม.ค.2020 รวมทั้ง ระบุห้ามการขยายช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของอังกฤษเกินกว่าเดือน ธ.ค.2020 เพื่อให้มีข้อสรุปในข้อตกลงทางการค้ากับ EU ภายในช่วงเวลาดังกล่าว
ปัจจัยจับตาสัปดาห์นี้
- ตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ / ยอดค้าปลีก อัตราการว่างงาน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น / กำไรภาคอุตสาหกรรม และยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของจีน / ยอดการส่งออก การนำเข้า ยอดเกินดุลการค้า ดัชนีการผลิภาคอุตสาหกรรม อัตราการใช้กำลังการผลิต และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย
- เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ปิดทำการ 1-2 วันทำการเนื่องในวันคริสต์มาส