ดัชนีดาวโจนส์พุ่งทุบสถิติในรอบ 30 ปี
ดัชนีดาวโจนส์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดด้วยตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 12 แล้ว เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สัญญาว่าจะมีการประกาศโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
นับเป็นการพุ่งขึ้นของดัชนีติดต่อกันนานที่สุดในตลาดหุ้นนับตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งทะยานขึ้นจากความหวังที่ว่าประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ จะมีการใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้นและแผนการปฏิรูปภาษีในการอภิปรายกับสภาคองเกรสในวันที่ 28 ก.พ.
ค่าเฉลี่ยของดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดที่ 15 จุดสูงกว่า 20,837 จุด
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวก่อนที่จะพูดสุนทรพจน์ว่า “ เรากำลังที่จะทำให้มันง่ายขึ้นสำหรับทุกรัฐในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเรากำลังจะมีการประกาศครั้งใหญ่พรุ่งนี้ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ”
ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้กล่าวว่า เขาจะหาหนทางที่จะเพิ่มงบการใช้จ่ายงบด้านการป้องกันประเทศอีก 54,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเท่ากับ 10% ในแผนเสนองบประมาณสำหรับปี 2061
นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า จะมีการใช้จ่ายงบเพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐาน และการลดภาษีสำหรับธุรกิจของสหรัฐฯ
ปีเตอร์ แจนคอฟสกี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่ Oakbrook Investments ให้ความเห็นว่า “ เมื่อไรที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดถึงแผนการที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจะชักขาขึ้นมาจากตลาด แต่ถ้าเมื่อไรที่เขาไม่ได้พูดถึง ก็จะมีโมเมนตัมเพียงพอที่จะก้าวไปข้างหน้า ”
ดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้น 2 จุดขึ้นมาสูงกว่า 2,370 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composites ซึ่งเน้นด้านธุรกิจเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 17 จุดไปอยู่ที่ 5,862 จุด
โดยหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดคือหุ้นของบริษัทด้านพลังงาน การเงิน และการดูแลสุขภาพ และยังมีพื้นที่ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นหากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อ้างอิงจากความเห็นของนายแจนคอฟสกี
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์เคยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องกัน 13 วันทำการซื้อขายในเดือนม.ค. ปี 2530 ซึ่งเป็นเวลา 9 เดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ‘แบล็คมันเดย์’ ที่เขย่าตลาดจนดิ่งร่วง.