สนธิรัตน์ เล็งใช้เงินกองทุนฯรับมือวิกฤตน้ำมันซาอุฯ
สนธิรัตน์ นัดประชุม กบง.นัดพิเศษ พรุ่งนี้ (17 ก.ย.62) เล็งใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 40,000 ล้านบาท ผยุงราคาน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งจากเหตุการณ์ ซาอุดิอาระเบียถูกกลุ่มก่อการร้ายใช้โดรนโจมตี
จากกรณีกลุ่มก่อการร้ายฮูติซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธในประเทศเยเมนได้ใช้โดรน 10 เครื่อง โจมตีรุนแรงใส่โรงน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย 2 แห่งจนเกิดไฟไหม้ และทำให้การผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียหยุดไป 50% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในวันนี้ (16 ก.ย.62) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 11% โดยสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า เวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือน ต.ค. พุ่งขึ้น 6.12 ดอลลาร์ หรือ 11.16% แตะที่ระดับ 60.97 ดอลลาร์/บาร์เรล นั้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวชี้แจงว่า ในความเป็นจริงแล้วจุดที่ถูกโจมตีไม่ได้เป็นที่ตั้งโรงกลั่นน้ำมัน แต่เป็น Crude Oil Processing Facility หรือ โรงงานที่ทำหน้าที่กำจัดสารต่างๆ ที่ไม่ต้องการ เป็นเหมือนกระบวนการทำความสะอาด ออกจากน้ำมันดิบ ก่อนส่งต่อไปยังผู้ซื้อของบริษัท Aramco (อารามโค) และถึงแม้ว่าสถานการณ์จะอยู่ในความควบคุมได้แล้วก็ตาม แต่กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนไม่ให้เกิดความวิตกกังวล กระทรวงพลังงานได้เตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการบริหารจัดการด้าน Supply หรือการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศซาอุดิอาระเบียประมาณ 170,000 บาเรลล์/วันนั้นเป็น เป็นตัวเลขที่ไม่น่ากังวล เพราะหากไม่สามารถนำเข้าจากซาอุดิอาระเบียได้ตามปริมาณดังกล่าวก็สามารถกระจายการนำเข้าจากแหล่งอื่นได้ อาทิ สหรัฐอเมริกา แอฟริกา กาต้า โอมาน เป็นต้น
ส่วนปริมาณสำรอง ปัจจุบัน ณ วันที่ 16 กันยายน 2562 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 3,366 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,193 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 1,848 ล้านลิตร รวมจำนวนวันที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 54 วัน ส่วนปริมาณสำรองก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนมีประมาณ 131 ล้านกิโลกรัม สำรองได้ 23 วัน แต่หากรวมการใช้ LPG ของภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งแล้วจะทำให้จำนวนวันสำรองที่ใช้ LPG ได้อยู่ที่ 12 วัน
ด้านราคา ได้มีการประเมินเบื้องต้นโดยทำแบบจำลองสถานการณ์ไว้ว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ จะทำให้อัตราราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หากยืดเยื้อราว 2 – 6 สัปดาห์ ราคาจะปรับขึ้น 5-15 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ในส่วนของการบริหารจัดการด้านราคา ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนั้น ทางกระทรวงพลังงานได้ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งผลกระทบด้านราคาน้ำมันดังกล่าวเป็นการประเมินในเบื้องต้น โดยพรุ่งนี้ (17 ก.ย.62) จะนัดประชุม กบง.เป็นวาระพิเศษ เพื่อร่วมหารือมาตรการป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อค่าครองชีพของประชาชนต่อไป
“วันนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับขึ้น 12 เปอร์เซ็น หรือ ประมาณ 6-7 เหรียญต่อบาร์เรล ในเรื่องการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีผลกระทบต่อการขายแคลน แต่ต้องมาดูเรื่องขอราคาน้ำมันเพื่อไม่ใช้มีผลกระทบกับประชาชน เพราะหากน้ำมันดิบปรับราคาขึ้น 5 เหรียญ จะส่งผลกระทบราคาขายปลีกในประเทศปรับขึ้นประมาณ 1 บาท ซึ่งการประชุมกบง.ในวันพรุ่งนี้ จะมีการวางมาตรการรองรับ การพิจารณาใช้กลไก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีฐานะการเงินอยู่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท อย่างไรให้คงราคาน้ำมันไว้”