มุสลิมโหวตปกครองตนเองในมินดาเนา
เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ชาวมุสลิมกว่า 2.8 ล้านคนลงคะแนนในการทำประชามติเพื่อขอให้มีการปกครองตนเองทางใต้ของฟิลิปปินส์ เพื่อยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นนานเกือบครึ่งศตวรรษ จากความพยายามแบ่งแยกดินแดงในพื้นที่ซึ่งมีปัญหาความยากจนและกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาสุดโต่ง
คาดการณ์ว่าคำตอบจะออกมาเป็นโหวต ‘เยส’ คือสนับสนุนให้มีการปกครองตนเอง แม้จะมีเสียงคัดค้านจากนักการเมืองที่เป็นชาวมุสลิม ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมยกอำนาจให้กับกลุ่มนักการเมืองใหม่ที่จะควบคุมอำนาจ 1 ใน 3 บนเกาะมินดาเนา ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศฟิลิปปินส์
รัฐบาลในกรุงมะนิลา และแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฎหลัก พยายามจะทำข้อตกลงสันติภาพร่วมกันเพื่อยุติความรุนแรง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 120,000 รายจากการปะทะกัน และทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่นประมาณ 2 ล้านคนในช่วงเวลาที่ผ่านมา
Mohagher Iqbal ประธานคณะทำงานเพื่อสันติของกลุ่ม MILF กล่าวกับเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ Rappler ว่า “ เราเชื่อว่าโหวต ‘เยส’ จะชนะอย่างถล่มทลาย อย่างน้อย 4 จังหวัดและ 2 เมือง” คาดการณ์ว่าจะมีการประกาศผลการลงประชามติได้ในวันที่ 25 ม.ค.นี้
การทำประชามติเป็นการสนับสนุนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตเมื่อเดือนก.ค.ปี 2561 ว่าจะจัดตั้งให้มีการปกครองตนเอง มีการบริหารและมีสภาในพื้นที่ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Bangsamoro หรือ ‘ชาติของโมโร’ ภายในปี 2565
โดยพื้นที่นี้ครอบคลุมพื้นที่เกาะมินดาเนา และเกาะเล็กๆหลายสิบเกาะทางตะวันตกที่ขึ้นชื่อว่ามีโจรสลัดในน่านน้ำและมีการปล้นสะดมบ่อยครั้ง มีชาวมุสลิมประมาณ 5 ล้านคนที่อาศัยในภูมิภาคนี้ ซึ่งแม้จะอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แต่ประชากรกลับยากจนที่สุดในประเทศ
Bangsamoro จะดีกว่าเขตปกครองตนเองด้วยการบริหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีเงินทุนที่ดีขึ้นและทรงอิทธิพลมากขึ้น โดยภาษี 3 ใน 4 ส่วนที่จัดเก็บได้ในภูมิภาคจะนำมาพัฒนาในพื้นที่ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะได้รับประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีเป็นงบในการพัฒนา
MILF ให้สัญญาจะปลดระวางนักรบ 1 ใน 3 คือประมาณ 30,000 คน และปลดอาวุธหลังการทำประชามติและรัฐบาลส่วนกลางจะยังควบคุมดูแลด้านความมั่นคงในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในการพูดคุยเพื่อสันติระหว่างรัฐบาลกับ MILF โดยเลือกที่จะยอมรับและปฏิบัติตามแนวคิดของกลุ่มอิสลามในอิรักและซีเรีย หรือ ISIS แทน
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เล็กลงมาอย่างกลุ่มกบฎอาบูไซยาฟ ซึ่งก่อความไมสงบมานานหลายทศวรรษในมินดาเนา กลุ่มนี้สามารถหารายได้จากการปล้นสะดมและเรียกค่าไถ่ได้จำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์
กลุ่มอาบูไซยาฟแม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็ก่อปัญหาใหญ่ให้รัฐบาล อย่างเช่นเหตุการณ์ในเดือนพ.ค.2560 ที่มีกลุ่มติดอาวุธประมาณ 1,000 คนเข้ายึดพื้นที่ทางใต้ของเมืองมาราวีบนเกาะมินดาเนานานถึง 5 เดือน กลายเป็นวิกฤตความมั่นคงที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีของฟิลิปปินส์ การปราบปรามทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,100 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกบฎ และประชาชนเกือบ 5 แสนคนต้องอพยพออกจากพื้นที่.