บี.กริม ลุ้น เปิดเสรี LNG ซื้อก๊าซราคาถูกกว่าปตท.
บี.กริม ลุ้น เปิดเสรี LNG ซื้อขายก๊าซ บริษัทต่างชาติเสนอขายราคาถูกกว่า ปตท. ส่วนผลศึกษาร่วมลงทุนธุรกิจซื้อขายก๊าซ LNGกับรัฐบาลเวียดนาม ชัดเจนกลางปี 63 และเตรียมร่วมลงทุนธุรกิจไฟฟ้าพลังงานลม เวียดนามเพิ่มเติมด้วย
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM กล่าวว่า ขณะนี้ อยู่ระหว่างศึกษาร่วมลงทุนทำธุรกิจซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) กับรัฐบาลเวียดนาม หลังจากที่เวียดนามได้เปิดให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 55 คาดว่าจะมีความชัดเจนในกลางปี 63 อีกทั้งยังสนใจที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่ประเทศเทศเวียดนามเพิ่มเติมด้วย โดยมีความสนใจในโครงการพลังงานลม หลังจากที่ได้ลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ไปแล้ว
และคาดหวังให้รัฐบาลไทยเปิดเสรีการซื้อขาย LNG ซึ่งที่ผ่านมาได้มีผู้ประกอบการต่างประเทศให้ความสนใจที่จะขาย LNG ในราคาถูกให้กับบริษัท หากซื้อได้ในราคาถูกจะส่งผลดีต่อต้นทุนและผลประกอบการ ซึ่งต้นทุนก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 70% ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันบริษัทรับซื้อก๊าซธรรมชาติจาก บมจ.ปตท. (PTT) เพียงรายเดียว
นางปรียนาถ กล่าวว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะได้ข้อสรุปว่าจะซื้อก๊าซ LNG จาก ปตท.เช่นเดิม หรือจะเปลี่ยนเป็นซื้อจากต่างชาติแทน เนื่องจากปัจจุบันมีต่างชาติเข้ามาเสนอขายก๊าซ LNG แก่บริษัทจำนวน 10 ราย และเสนอขายในราคาที่ถูกกว่า PTT โดยคาดหวังให้รัฐเปิดเสรีซื้อขายก๊าซ LNG
สำหรับรายได้ปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 42,000 ล้านบาท หากสามารถปิดดีลการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ได้สำเร็จ จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มอีก 2-3 แห่ง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ใน 3 โครงการเข้ามาเพิ่ม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ น้ำแจ ในลาว กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ (MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศเวียดนาม 2 โครงการ รวม 677 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โครงการ DT1&2 กำลังการผลิต 420 เมกะวัตต์ และโครงการ Phu Yen TTP กำลังการผลิต 257 เมกะวัตต์ ทำให้สิ้นปีนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 2,896 เมกะวัตต์ และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าในระยะเวลา 5 ปีจากนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือตามเป้าหมายที่ 5,000 เมกะวัตต์
พร้อมทั้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ปีนี้จะอยู่ที่ 26% จากปีก่อนที่ทำได้ 24-25% เป็นผลมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง เทียบกับค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่คงที่จนถึงสิ้นปี ทำให้ส่วนต่างราคาเพิ่มขึ้น จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ EBITDA Margin ของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนั้น บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับรองรับการเข้าซื้อกิจการ และพัฒนาโครงการเดิม และได้วางเป้าหมายงบลงทุนภายใน 5 ปี (ปี 62-66) ไว้ที่ 75,000 ล้านบาท เพื่อใช้รองรับการพัฒนาโครงการเดิม และโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต