คลังชี้กลโกงการเงินสุดเนียนต้องฉีดยาแรง
“โฆษกคลัง” เผยรูปแบบกลโกงและวิธีการหลอกลวงประชาชนมากยิ่งขึ้น แถมขยายตัวออกอันรวดเร็ว ทั้งในเขตกรุงเทพฯและภูมิภาค ชี้ จนท.รัฐ ต้องเข้ม บูรณาการร่วมเพื่อบังคับใช้กฎหมายเอาผิด “แก๊งโกง” ธุรกิจการเงินนอกระบบ อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าจัดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 จากนั้นต้นเดือน ก.ย.จัดครั้งสุดท้ายอีกรอบ หวังคุ้มครองประโยชน์ประชาชนมากสุด
นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อซักซ้อมความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ) ภายใต้โครงการการป้องปรามการเงินนอกระบบ ที่จัดขึ้นโดยสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. ระหว่างวันที่ 21 – 22 ส.ค.62 ณ ห้องดอยสุเทพ โรงแรมแคนทารี ฮิลล์ เชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 2 ของปีงบประมาณ62 จากทั้งหมด 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายจะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ราวต้นเดือน ก.ย.62 วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการซักซ้อมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายข้างต้น เพื่อป้องกันและปราบปรามธุรกิจการเงินนอกระบบที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย และรับทราบแนวทางการแก้ปัญหาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่ตามนโยบายรัฐบาล
รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อคิดเห็นปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาธุรกิจการเงินนอกระบบที่ผิดกฎหมายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ด้านการสืบสวนและสอบสวนที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ตามการแบ่งเขตพื้นที่ของกรมสรรพากร ภาค 8 ซึ่งมี 8 จังหวัดๆ ละ 14 คน ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน, เชียงราย, พะเยา, น่าน, แพร่, ลำปาง, ลำพูน และเชียงใหม่ รวม 112 คน และพนักงานเจ้าหน้าที่ด้านการสืบสวนและสอบสวนจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 อีก 8 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 120 คน
นายลวรณ ย้ำว่า ธุรกิจการเงินนอกระบบที่ได้มีการพัฒนารูปแบบกลโกงและวิธีการหลอกลวงประชาชนมากยิ่งขึ้น และขยายตัวออกไปในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และในส่วนภูมิภาค การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับรูปแบบของธุรกิจการเงินนอกระบบ และวิธีการที่เหล่ามิจฉาชีพเหล่านี้นำมาใช้ในการหลอกลวงประชาชนพร้อมกันไปด้วย รวมทั้งการทำความเข้าใจกับกฎหมายที่นำมาบังคับใช้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่เป็นผู้เสียหายให้มากที่สุด
สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการฯครั้งนี้ แบ่งเป็นวันพุธที่ 21 ส.ค. เวลา 09.00 – 10.30 น. เป็นการบรรยาย เรื่อง “ลักษณะการขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่” โดยนายณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรชำนาญการ กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และเวลา 10.30 – 12.00 น. เป็นการบรรยาย เรื่อง “สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสี่ยงจะเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่”โดย น.ส.อาจารีย์ ศุภพิโรจน์ ผอ.ฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การขายตรงแอบแฝงแบบแชร์ลูกโซ่ การประกอบธุรกิจประเภทนี้ จะมีลักษณะ ดังนี้ (1) ไม่ได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงกับ สคบ. หรือจดทะเบียนขายตรงกับ สคบ. แต่ดำเนินธุรกิจจะแตกต่างไปจากที่แผนที่ได้ยื่นต่อ สคบ. (2) บังคับให้สมัครเป็นสมาชิกหรือมีเงื่อนไขให้สมาชิกต้องซื้อสินค้า เพื่อมีสิทธิในการเข้าร่วมธุรกิจ (3) สมาชิกไม่ต้องนำสินค้าไปเสนอขายต่อผู้บริโภค แต่มุ่งเน้นให้สมาชิกไปชักชวนบุคคลอื่นมาเข้าร่วมเครือข่าย ทั้งนี้ รายได้หรือผลตอบแทนมาจากการแนะนำที่คิดคำนวณจากจำนวนสมาชิกเข้าร่วมเครือข่ายมากขึ้น (4) สินค้ามีราคาสูงแต่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ผู้ประกอบธุรกิจไม่มีนโยบายในการรับสินค้าคืนเพราะระบบการจ่ายเงินเป็นการนำเงินจากผู้สมัครรายใหม่มาจ่ายให้กับรายเก่าต่อ ๆ กันไป และ (5) ไม่ได้ซื้อสินค้าเพื่อบริโภคแต่เป็นการซื้อสินค้าเพื่อหวังรับผลประโยชน์ตอบแทน จึงไม่เข้าข่ายได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้าและไม่เข้าเงื่อนไขเป็นผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
2. สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสี่ยงจะเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ การดำเนินธุรกิจประเภทนี้ มีลักษณะเป็นการระดมทุนคล้ายแชร์ลูกโซ่ทั่วไป แต่เป็นการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนจากประชาชน เช่น การขุดเหรียญดิจิทัล หรือการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ หรือการระดมทุนผ่านช่องทาง ICO (Initial Coin Offering)โดยผู้ระดมทุนทำเหมือนว่าจะพัฒนาโปรเจกต์ต่าง ๆ แต่ไม่ได้มีเจตนาทำจริงเพียงต้องการระดมเงินจากประชาชนเท่านั้นซึ่งสามารถสังเกตได้ คือ มักเร่งรัดให้ตัดสินใจลงทุน โดยเสนอผลตอบแทนที่สูงมีการการันตีผลตอบแทน หรือเสนอผลตอบแทนให้จากการหาสมาชิกใหม่ ไม่มีหนังสือชี้ชวนหรือมีแต่ไม่ชัดเจน และมีสัญญาณเตือนภัย เช่น ข่าวเตือนภัยหรือความเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น
การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ภาคบ่าย เวลา 13.00 – 16.30 น. เป็นการเสวนา เรื่อง “การกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และบทบาทของหน่วยงานในการดำเนินการตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527” โดยมีวิทยากรร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายปกรณ์ ธรรมโรจน์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 สำนักงานอัยการสูงสุด พ.ต.ท. พงศ์พจน์ ธรรมากุลวิชช์ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ นายพงศ์ธร ทองด้วง ผอ.ส่วนนิติการ กองกฎหมาย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน น.ส.รุ่งทิพย์ จินดาพล ผอ.ส่วนป้องปรามการเงินนอกระบบสำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค.โดยมีนายทิวนาถ ดำรงยุทธ นิติกร ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งมีสาระสำคัญของการเสวนา เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบความผิด บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเมื่อเกิดการกระทำความผิด อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ รวมถึงลักษณะการกระทำความผิดตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ วันพฤหัสบดีที่ 22 ส.ค.เวลา 8.30 – 12.00 น. เป็นการบรรยาย เรื่อง “แนวทางการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานในความผิดตาม พ.ร.ก.กำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ และการวิเคราะห์กรณีตัวอย่างการกระทำความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ โดย พ.ต.ท. พงศ์พจน์ ธรรมากุลวิชช์ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ.