“มารวยฯ”ชี้EEC-ไฮสปีดเทรน บูมอสังหาฯฉะเชิงเทรา
เจ้าตลาดอสังหาฯในจ.ฉะเชิงเทรา ระบุ นโยบายลงทุนอีอีซี ความชัดเจนไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน หนุนการเติบโตของการลงทุนต่างๆ ยอมรับราคาที่ดินแพงสูงลิ่ว ปรับโปรดักส์ ทำบ้านแฝด ชดเชยตลาดบ้านเดี่ยว
ดร.สืบวงษ์ สุขะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มารวย เรียลเอสเตท จำกัด ผู้นำการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดฉะเชิงเทรามากว่า 12 ปี และเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ อยู่ในพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนผ่านโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) เปิดเผยว่า บริษัทได้สร้างผลงานผ่านโครงการที่เปิดมาแล้วกว่า 8 โครงการ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 8 โครงการ ทั้ง โครงการมารวย โสธร 4 ,โครงการบ้านมารวย ริเวอร์ไซด์ และโครงการบริษัทในเครือ รวมมูลค่าที่สามารถสร้างยอดขายให้เกิดต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2,000 กว่าล้านบาท ระดับราคาเฉลี่ย 3-4 ล้านบาท ซึ่งเป็นฐานกลุ่มใหญ่ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
“จ.ฉะเชิงเทรา เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ มีการตั้งโรงงานผลิต ใกล้ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน และมอเตอร์เวย์ เป็นเมืองท่องเที่ยว และมีวัดสำคัญ ทำให้ ฉะเชิงเทรา มีเสน่ห์ มีการเติบโตของเมือง การทำโครงการของ มารวย เน้นกลุ่มผู้มีความต้องการอยู่ ซึ่งภาพรวมตลาดระดับราคา 3 ล้านบาท แต่ของมารวยเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท ซึ่ง ลูกค้าในพื้นที่ฉะเชิงเทรา มีฐานะ แต่ใช้จ่ายเงินบนความคุ้มค่า “
และด้วยความเจริญเติบโตของเมืองและราคาที่ดินปรับสูงขึ้น ทำให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องเพิ่มรูปแบบโครงการให้เหมาะสมกับกำลังซื้อ และด้วยราคาโครงการบ้านเดี่ยวที่แพงขึ้นมาอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท ทำให้บริษัทมารวยฯต้องปรับตัว หันมาทำบ้านแฝด ขนาดพื้นที่ 40 ตารางวา ราคา 3 ล้านบาท เป็นการย่อขนาดบ้านเดี่ยวมาเป็นบ้านแฝด ผลตอบรับดีเกินคาด โครงการที่เปิดดำเนินการอยู่ ได้แก่ โครงการบ้านมารวย ริเวอร์ไซด์ เนื้อที่ 95 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เปิดมาแล้ว 2-3 ปี มีจำนวนรวม 491 มียอดขายไปแล้ว 40% และอยู่ระหว่างก่อสร้างในเฟสที่ 2 โดยปรับเพิ่มบ้านแฝดในสัดส่วน 50% และบ้านเดี่ยว 50% วางเป้าหมายในการพัฒนาและปิดการขายภายใน 3 ปี (2562-2565)
นโยบายเกี่ยวกับการลงทุนในอีอีซี เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนและเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้น และความต่อเนื่องของนโยบาย จะช่วยดึงการลงทุนเข้าสู่พื้นที่อีอีซีมากขึ้น โครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน) จะขยายการเติบโตของการอยู่อาศัยในพื้นที่ มีการพัฒนเมืองและเกิดการไหลเข้าของเงินลงทุน และผลจากราคาที่ดินแพงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่สูงขึ้น คาดว่าราคาบ้านในอีก 2 ปีข้างหน้า ราคาบ้านต้องขึ้นไปอีก 30%