นักวิจัยเตือนซิดนีย์/เมลเบิร์นรับมืออุณหภูมิสูง 50 องศา
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. มีผลงานวิจัยใหม่เตือนว่า ในอนาคต เมืองซิดนีย์และเมลเบิร์นอาจต้องเผชิญหน้ากับอุณหภูมิที่สูงถึง 50 องศาเซลเซียส เป็นประจำ ภายใน 25 ปี แม้ว่าประเทศออสเตรเลียจะปฏิบัติตามข้อตกลงด้านภาวะโลกร้อนของปารีสอย่างถูกต้อง
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และศูนย์ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ด้านระบบภูมิอากาศ ผู้ให้การสนับสนุนการวิจัยครั้งนี้ ระบุว่า นอกจากทั้งสองเมืองแล้ว บริเวณอื่นในประเทศออสเตรเลียก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับความร้อนรุนแรงเช่นกัน
การวิจัยชิ้นนี้ได้ประเมินอุณหภูมิที่อาจจะสูงขึ้นมากที่สุดภายในอนาคต ภายใต้ข้อตกลงปารีส ที่มี 196 ประเทศร่วมลงนาม ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อที่จะลดอุณหภูมิทั่วโลกให้ได้ราว 1.5-2 องศาเซลเซียส เหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม
โซฟี เลวิส ผู้เขียนหลักและนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ระบุว่า “ เมืองหลักหลายเมืองในออสเตรเลีย อย่างเช่น ซิดนีย์ และเมลเบิร์น อาจจะต้องประสบกับอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 50 องศาเซลเซียส ซึ่งต่ำกว่าระดับโลกร้อน 2 องศาเซลเซียส ” โดยเธอเสริมว่าอาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ภายในช่วงระยะเวลาปี 2583 เป็นต้นไป
“ อุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนของออสเตรเลียที่เพิ่มสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าเมืองใหญ่หลายแห่ง อาจจะต้องเตรียมตัวรับมือกับอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในอนาคต ”
การวิจัยครั้งนี้ได้จำลองแบบภูมิศาสตร์มาซึ่งแสดงให้เห็นว่า อุณหภูมิประจำวันอาจสูงขึ้นถึง 3.8 องศาเซลเซียส สูงกว่าที่เคยมีการบันทึกไว้ในรัฐวิคตอเรียและนิวเซาท์ เวลส์ แม้ว่าจะพยายามควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงขึ้นแล้วก็ตาม
ในปีก่อน ประเทศออสเตรเลียได้มีการร่วมลงนามในข้อตกลงปารีส โดยได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยมลพิษจาก 26% เป็น 28% จากเมื่อปี 2548 ให้ได้ภายในปี 2573
ทางเลวิสระบุว่า การรับมือกับคลื่นความร้อนรุนแรงในหลายเมืองจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ถูกต้อง พร้อมด้วยโรงพยาบาลหลายแห่งที่ต้องมีอุปกรณ์ครบครันและพร้อมรับมือกับสถานการณ์
ออสเตรเลียต้องเผชิญหน้ากับฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดในประวัติการณ์ ท่ามกลางภาวะโลกร้อนที่ส่งผลไปทั่วโลก
ในปี 2558 ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นปีที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ทั่วโลก อาจกลายเป็นแค่อุณหภูมิเฉลี่ยภายในปี 2568
แอนดรูว คิง นักวิจัยร่วมจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ระบุว่า กลุ่มนักวิจัยได้นำกาการสังเกตการณ์และการจำลองมารวมกันเพื่อประเมินผลเกี่ยวกับอุณหภูมิในอนาคตที่อาจทำลายสถิติที่เคยบันทึกไว้.