เทรนด์อาหารโลก มาแล้ว “อุตฯเกษตร – อาหารไทย” จะก้าวทันมั้ย?!
Food Traceability เทรนด์อาหารโลก โจทย์ใหญ่ของธุรกิจเกษตรและอาหารของไทย ที่ผู้ประกบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องก้าวให้ทัน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลายสาขา แต่…สำหรับอุตสาหกรรมอาหารกลับได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
จะเห็นได้จากรายงานของสถาบันอาหาร ได้รายงานว่าในปี 2563 อุตสาหกรรมอาหารของไทยในช่วง 11 เดือน อยู่ที่ 981,430 ล้านบาท ที่แม้จะหดตัวลงจากปี 2562 ที่ 7.39% แต่แนวโน้มในปี 2564 นี้ มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมอาหารจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น 12% และจะมีมูลค่าราว 1.08 -1.10 ล้านล้านบาท
นั่นเป็นเพราะ… พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่มีความต้องการเลือกสินค้าอาหาร หรือวัตถุดิบ เพื่อมาประกอบอาหารเองเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน โจทย์ใหญ่ของธุรกิจเกษตรและอาหารของไทย ที่ต้องก้าวให้ทันมาตรฐาน Food Traceability ก็เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ
เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร ประเด็นด้านสุขภาพและสวัสดิภาพแรงงาน รวมทั้งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม จึงเรื่องที่ผู้บริโภคต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหารนั้นๆ
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungคthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวพร้อมกับอกว่า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยความท้าทาย ที่จะเข้ามาในรูปแบบของมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับตลอดกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคทางการค้าสำหรับผู้ส่งออกไทยได้หากเตรียมตัวไม่ทัน
ฉะนั้นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรและอาหารต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบทางการค้าที่ออกมาใหม่ๆ อาทิ นโยบาย Farm to Fork ของสหภาพยุโรป ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตจากฟาร์มไปจนถึงมือผู้บริโภค
โดยจะต้องมีการพัฒนาระบบการผลิต และขนส่งอาหารที่มีความโปร่งใส ดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งจะมีการตรวจสอบย้อนกลับ สินค้าอาหารโดยการบังคับติดฉลากเพื่อแสดงข้อมูลสินค้า
เช่น โภชนาการ แหล่งที่มา ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ หรือมาตรฐานเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ที่จะทำให้การตรวจสอบย้อนกลับของแหล่งที่มาอาหารจากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบเอกสารมาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยจะมีผลบังคับใช้ในปี 2023
ส่วนสินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่ต้องเร่งดำเนินการเรื่อง Traceability อย่างจริงจังนั้น “นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ” นักวิเคราะห์ บอกว่า มีด้วยกัน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ ประมง อาหารสัตว์ และสินค้าผักและผลไม้
โดยสินค้าเหล่านี้ มักถูกจับตาในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในสินค้า และยังเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญ กับระบบการตรวจสอบย้อนกลับอาหารค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ ในระยะหลังคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ก็เข้มงวดในมาตรการด้านสุขอนามัยในสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น
โดยสินค้า 4 กลุ่มหลักนี้ มีมูลค่าการส่งออกรวมกันถึง 159,000 ล้านบาทต่อปี หรือ 16% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยซึ่งอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกัน นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็น ตลอดห่วงโซ่การผลิตในรูปแบบดิจิทัล เพื่อช่วยให้การตรวจสอบย้อนกลับอาหารทำได้ง่ายขึ้น อาทิ ข้อมูลแหล่งผลิตฟาร์มและเพาะเลี้ยง ชนิดพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ ปริมาณการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง ข้อมูลการแปรรูป
สำหรับตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร ได้แก่ การใช้ RFID ,IoT ,QR Code และ Blockchain ในการเก็บข้อมูลแหล่งที่มา ของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์
โดยผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับจากฉลากสินค้าในรูปแบบ QR Code อีกทั้งในกรณีที่เกิดโรคระบาดในสัตว์ยังช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบสินค้าที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อ
ฉะนั้น การสร้างพันธมิตรที่เกื้อหนุนกัน ทั้ง Ecosystem ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่ให้การรับรองมาตรฐาน และให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาหาร
จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการก้าวให้ทันมาตรฐาน Food Traceability!!