สหรัฐฯมีภูมิคุ้มกันหมู่โควิดซัมเมอร์นี้
อัตราการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในสหรัฐฯ พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวันจึงทำให้ประเทศเข้าใกล้การมีภูมิคุ้มกันหมู่มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ประชาชนได้รับการป้องกันมากพอที่จะหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนระบุว่า สหรัฐฯจะมีวัคซีนมากเพียงพอสำหรับประชาชนผู้ใหญ่ทุกคนภายในสิ้นเดือนพ.ค. และจากการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนกลางของสื่อ CNN ชี้ว่า มีแนวโน้มว่าจะเข้าใกล้จุดที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในเวลาไม่นานนี้
ปัจจุบัน จากอัตราการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในสหรัฐฯอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน (จากอัตราเฉลี่ยการฉีดวัคซีนใน 7 วันล่าสุดของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ หรือ CDC ) สหรัฐฯอาจมีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ภายในฤดูร้อนนี้จากการฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียว และมีแนวโน้มว่าอาจจะเร็วกว่านั้นได้ หากมีปัจจัยที่ประชาชนมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อมาก่อน
ผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปเห็นพ้องว่า ต้องมีประมาณ 70% – 85% ของประชากรทั้งประเทศได้รับการป้องกันเพื่อจะหยุดการแพร่ระบาด ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขบ่งชี้ของดร.แอนโธนี เฟาซี ผอ.สถาบันภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ
จากข้อมูลล่าสุดของ CDC ระบุว่า มากกว่า 8% ของจำนวนประชากร (เกือบ 28 ล้านคน) ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
หากการฉีดวัคซีนยังคงดำเนินไปตามอัตราปัจจุบัน และมีทางเลือกเพียงวัคซีน 2 โดสของไฟเซอร์/ไบออนเทค และโมเดอร์นาเท่านั้น จะสามารถฉีดวัคซีนได้ถึง 70% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศได้ภายในช่วงกลางเดือนก.ย.
แต่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯเพิ่งรับรองขึ้นทะเบียนวัคซีนโดสเดียวของบริษัทจอห์นสัน & จอห์นสันเพื่อการใช้ฉุกเฉิน และบริษัทสัญญาจะจัดส่งวัคซีน 100 ล้านโดสให้สหรัฐฯภายในครึ่งปีแรก
หากเป็นอัตราการฉีดวัคซีนในปัจจุบันคือ 2 ล้านโดสต่อวัน และรวมถึงวัคซีนที่ฉีดเพียงโดสเดียวของจอห์นสัน& จอห์นสันจำนวน 100 ล้านโดส จะฉีดวัคซีนได้ 70% ของจำนวนประชากรภายในเดือนก.ค. และ 85% ได้ภายในกลางเดือนก.ย. จากการวิเคราะห์ของสื่อ CNN
ทาง CDC ประเมินว่า กว่า 1 ใน 4 ของประชากรอาจติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ทำให้อัตราส่วนประชากรที่ได้รับการป้องกันเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 โดยมีการประเมินว่า หากไม่มีการผสมปนเปกันระหว่างผู้ที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติและผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว อาจมีภูมิคุ้มกันหมู่ในสหรัฐฯได้ภายในช่วงต้นเดือนมิ.ย.
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ไวรัสกลายพันธุ์อาจส่งผลกับความก้าวหน้า อาจทำให้อัตราการป้องกันจากวัคซีนลดลงและส่งผลกับการมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และผู้ที่ลังเลใจไม่ฉีดวัคซีนอาจทำให้ตัวเลขถูกจำกัด