กลุ่ม KTIS ลดต้นทุนฝ่ากระแสโควิดส่งผลปี 2563 มีกำไร 569 ล้านบาท
กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร แจงปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงาน ปี 2563 (ต.ค. 62 – ก.ย. 63) ฝ่ามรสุมโควิด-19 ได้สำเร็จ มีกำไรสุทธิ 568.7 ล้านบาท เพราะสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีในทุกด้าน ทั้งต้นทุนขาย บริหาร และต้นทุนทางการเงิน คาดราคาน้ำตาลตลาดโลกเฉลี่ยปี 2564 จะสูงกว่าปี 2563 ส่งผลให้รายได้และกำไรของกลุ่ม KTIS เติบโตได้ดี
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ปี 2563 (ต.ค. 62 – ก.ย. 63) มีรายได้รวม 14,021.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 568.7 ล้านบาท
“แม้ว่าการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ จำนวนมาก รวมถึงธุรกิจของกลุ่ม KTIS ด้วย เพราะมีการล็อคดาวน์และเกิดการชะงักงันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกช่วงปลายเดือนเมษายน 2563 ลดลงอย่างมาก อีกทั้งผลผลิตอ้อยก็ลดลงเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง แต่ทางกลุ่ม KTIS ก็ยังสามารถทำให้ผลการดำเนินงานปี 2563 มีกำไรได้ เพราะการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
ทั้งนี้ ต้นทุนขายและการให้บริการในปี 2563 ลดลง 1,343.3 ล้านบาท หรือลดลง 10.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารก็ลดลง 1,246.9 ล้านบาท หรือลดลงถึง 42.5% โดยมีสาเหตุหลักมาจากเงินนำส่งสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ค่าขนส่งน้ำตาลทราย ค่าฝากน้ำตาลทรายและกากน้ำตาล รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรลดลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง 90.1 ล้านบาท หรือลดลง 29.7% และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ลดลง 38.6 ล้านบาท หรือลดลง 32.4%
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า สัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจต่างๆ ณ สิ้นรอบบัญชีปี 2563 สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายยังคงมีสัดส่วนสูงสุดคือ 71.5% รองลงมาเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล สัดส่วน 10.2% ธุรกิจผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล สัดส่วน 8.6% ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อย มีสัดส่วนรายได้ 5.2% และอื่นๆ อีก 4.5%
“จะเห็นว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเรายังคงมาจากสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ดังนั้น ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และคาดว่าราคาเฉลี่ยปี 2564 จะสูงกว่าปี 2563 ก็จะทำให้สายธุรกิจน้ำตาลมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นก็ส่งผลดีต่อธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลด้วย จึงเชื่อว่าธุรกิจของกลุ่ม KTIS ในปี 2564 จะมีการเติบโตที่ดีทั้งรายได้และกำไร” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว