ทรัมป์ชนะผ่านร่างกฎหมายสุขภาพใหม่
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯประกาศว่า กฎหมายประกันสุขภาพของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘โอบามาแคร์’ ได้จบสิ้นลงแล้ว หลังจากกฎหมายดูแลสุขภาพใหม่ของพรรครีพับลิกันได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ
โดยได้คะแนนเสียงชนะไปอย่างฉิวเฉียดคือ 217 ต่อ 213 เสียงในการต่อสู้กันทางกฎหมายครั้งแรก และจากนโยบายสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวโน้มว่าจะมีการทบทวนและปรับแก้ไขกฎหมายที่ผ่านร่างในสมัยของประธานาธิบดีโอบามาอีกหลายฉบับ
ทางพรรคเดโมแครตให้ความเห็นว่า กฎหมายดูแลสุขภาพฉบับใหม่ของพรรครีพับลิกัน หรือ อเมริกันเฮลธ์แคร์ จะทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนไม่มีประกันสุขภาพ และมีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงจำนวนหนึ่งพากันตะโกนว่า “ น่าละอาย ! ” อยู่หน้าสภา
ทั้งนี้ ช่วงเวลาของการฉลองมีขึ้นในเวลาต่อมาที่สนามหญ้าของทำเนียบขาว ที่ซึ่งประธานาธิบดีให้การต้อนรับส.ส.พรรครีพับลิกันที่ทำหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วงในสภาผู้แทนราษฎร
ส.ว.เบอร์นี แซนเดอร์ จากพรรคเดโมแครตให้ความเห็นว่า ประชาชนชาวอเมริกันจะเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเพราะไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้เหมือนที่ผ่านมา
โดยบรรดาผู้แทนจากกลุ่มโรงพยาบาลและแพทย์ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแผนประกันสุขภาพของพรรครีพับลิกัน ซึ่งพวกเขามองว่า ยังไม่มีการประเมินที่ถูกต้องเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงครึ่งทางของชัยชนะเท่านั้น เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาอีก
ทั้งนี้ มีชาวอเมริกันประมาณ 20 ล้านคนที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพโอบามาแคร์
ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2553 แต่ทางพรรครีพับลิกันมองว่า เป็นเรื่องที่เกินขีดความสามารถของรัฐบาลกลาง และกล่าวว่าผู้ป่วยมีทางเลือกน้อยลงและต้องจ่ายเบี้ยประกันที่มีราคาสูง
หากร่างกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาจนได้กลายเป็นกฎหมายจริง จะเป็นการยกเครื่องระบบประกันสุขภาพครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ส่วนประกอบสำคัญอาจถูกคว่ำโหวตจากส.ว.พรรครีพับลิกันซึ่งเคยกล่าวว่า ต้องการให้เริ่มต้นใหม่หมด
โดยสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงจากโอบามาแคร์คือ
- กฎหมายใหม่เพิกถอนการบังคับให้ทุกคนต้องทำประกันสุขภาพ
- ยกเลิกข้อกำหนดที่ว่า บริษัทที่มีพนักงาน 50 คนขึ้นไปต้องทำประกันสุขภาพให้พนักงาน
- บุคคลที่มีอายุไม่ถึง 26 ปียังคงอยู่ในความคุ้มครองของประกันสุขภาพของผู้ปกครองได้
- ให้ผู้ประกันตนต้องเสียเบี้ยประกันอย่างน้อย 5 เท่าของลูกค้าเก่า
- รัฐมีสิทธิเลือกที่จะไม่ให้สิทธิประโยชน์สำคัญแก่ผู้ประกันตนได้ เช่น การรักษาในกรณีฉุกเฉินและการรักษาโรคมะเร็ง
- และยังคงให้ความคุ้มครองที่จะให้การดูแลรักษาแก่ประชาชนที่อยู่ในเงื่อนไขเดิม.