ยอดขายบะหมี่ถ้วยในจีนลดลง
เนื่องจากทำง่ายและราคาถูก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นอาหารที่สะดวกสบายที่สุดในตลาดจีนมานาน
บะหมี่ถ้วยเป็นทั้งสแน็กสำหรับนักเรียน/นักศึกษา เป็นมื้ออาหารบนรถไฟ หรือเป็นทางเลือกระหว่างเดินทางของคนทำงานที่หิวโหย จึงทำให้มียอดขายพุ่งทะยานมากกว่า 42,600 ล้านถ้วยในตลาดจีนและฮ่องกงในปี 2556
แต่ในปี 2559 ยอดขายกลับร่วงลงมาเหลือ 38,500 ล้านถ้วย อ้างอิงจากสมาคมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโลก
ถึงแม้ยอดขายบะหมี่ถ้วยในตลาดประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างจะคงเดิมในช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมา แต่ยอดขายที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นรูปแบบที่ไม่ปกติสำหรับตลาดจีนและฮ่องกง
“ ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ลดลงชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไปในตลาดจีน ลูกค้าสนใจในคุณภาพชีวิตมากกว่าแค่หาอะไรใส่ท้องให้พอหายหิวเท่านั้น ” จ้าวผิง แห่งสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าวกับสื่อไชน่าเดลี่
หนึ่งในกลุ่มผู้บริโภคหลักของบะหมี่ถ้วยในจีนคือแรงงานอพยพ เนื่องจากพวกเขาต้องทำงานไกลบ้าน จำเป็นต้องประหยัดเรื่องอาหารการกิน และมุ่งเก็บเงินให้มากที่สุดเพื่อส่งกลับไปให้ครอบครัว
ก่อนหน้านี้จนถึงปี 2557 ตัวเลขของชาวจีนที่ย้ายเข้ามาทำงานในเมืองเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวเลขเริ่มลดลงมาติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยในปี 2559 มีแรงงานอพยพ 1.7 ล้านคนที่เข้ามาทำงานในเมือง ลดลงจากเดิมในปี 2558 ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับยอดขายของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็เป็นได้
จากตัวเลขของรัฐบาล ประชากร 730 ล้านคนในจีนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแล้ว และประมาณ 95% ใช้สมาร์ทโฟนในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชั่นสั่งอาหารที่มีบริการส่งถึงบ้าน ออฟฟิศ หรือที่ใดก็ตาม กลายเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างแท้จริง ถึงแม้ราคาจะแพงกว่าบะหมี่ถ้วย แต่ก็ไม่แพงมากจนผู้บริโภคจ่ายไม่ไหว ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนจำนวนมาก และอาจส่งผลกระทบกับยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในประเทศอื่น จีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
โดยมียอดขายมากกว่าในอินโดนีเซียเกือบ 3 เท่าในปีที่แล้ว
ที่จริงแล้ว ถ้าประเมินคร่าวๆ ยอดขายในจีนจะเท่ากับยอดขายในอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม อินเดีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์รวมกัน
บริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่จึงไม่อาจหันหลังให้ตลาดจีนได้เลย ตัวอย่างเช่น นิสชินฟู้ดส์ ที่มีแผนจะเข้าตลาดหุ้นในฮ่องกง โดนหวังว่าจะสามารถหนุนมูลค่าบริษัทขึ้นมาได้ประมาณ 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หาได้ยากที่บริษัทญี่ปุ่นจะเข้าตลาดหุ้นในฮ่องกง แต่นิสชินหวังจะโตกว่านี้ในตลาดจีน ซึ่งปัจจุบันนิสชินจัดเป็นแบรนด์บะหมี่ถ้วยที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5
“ ผู้บริโภคหลายคนเลิกบริโภคบะหมี่ถ้วย แต่ส่วนใหญ่ต้องการให้มีคุณภาพดีขึ้น เราสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้มากที่จะพัฒนาธุรกิจของเราให้เติบโตขึ้น ”