“เออร์เบินฯ” ทุ่ม 2,500 ล.ผุดโครงการมิกซ์ยูส
“เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ฯ” กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ทุ่ม 2,500 ล้าน ผุด “รัชโยธินฮิลล์” รูปแบบโครงการมิกซ์ยูส อาคารสำนักงานและโรงแรม หวังสร้างรายได้ประจำ เผยปี 63 เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ 4 แห่ง เพิ่มถึง500 ห้อง
นายวุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG ผู้พัฒนาโรงแรมและอาคารสำนักงาน กล่าวว่าเพื่อเป็นการบริหารธุรกิจและความเสี่ยงนั้น ทางบริษัทได้เพิ่มการลงทุนโครงการมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ รัชโยธิน ฮิลส์ ภายในโครงการประกอบด้วย โรงแรม จำนวน 228 ห้อง อาคารสำนักงานเกรดเอ พื้นที่ 19,000 ตารางเมตร (ตร.ม.)
โดยจะมีค่าเช่าเฉลี่ย 850 บาทต่อตร.ม. และร้านค้า 1,500 ตร.ม. โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส เฟสแรกเป็นอาคารสูง 32 ชั้น ประกอบด้วย โรงแรม และอาคารสำนักงานพื้นที่ 10,000 ตร.ม. ส่วนเฟส 2 เป็นอาคารสำนักงานสูง 12 ชั้น พื้นที่ 9,000 ตร.ม.โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า ปัจจุบัน กลุ่ม UHG มีอาคารสำนักงาน 3 แห่งพื้นที่รวม 30,000 ตร.ม.
นอกจากนี้ ในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดให้บริการโรงแรม 4 แห่ง จำนวน 501 ห้อง ได้แก่ โรงแรม The Quarter Phromphong ขนาด 88 ห้อง , โรงแรม The Quarter Ploenchit จำนวน 113 ห้อง , โรงแรม The Quarter Silom จำนวน 150 ห้อง และโรงแรม The Quart Ruamrudee จำนวน 150 ห้อง ปัจจุบัน กลุ่ม UHG มีโรงแรมเปิดให้บริการแล้ว 6 แห่ง จำนวน 785 ห้อง และคาดว่าภายในสิ้นปี 63 บริษัทจะมีกำไร จำนวน 600 ล้านบาท หรือโต 50% จากปี 2562 ที่มีกำไร 400 ล้านบาท
“ ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ถือเป็นการสร้างรายได้ระยะยาว และเป็นรายได้ประจำทุกเดือน ทำให้บริษัทลดความเสี่ยงจากธุรกิจโรงแรมที่มีช่วงไฮซีซันและโลว์ซีซัน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาระดับรายได้จากโรงแรมที่ 70% ส่วนอาคารสำนักงาน 30% เนื่องจากเชื่อมั่นในธุรกิจท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว” นายวุฒิพล กล่าว
สำหรับการทำการตลาดของธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน เน้นเจาะลึกถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยบริษัทจะทำการตลาดเฉพาะของโรงแรมแต่ละแห่ง นอกจากนี้ ยังมีทีมขายในการทำตลาดกับลูกค้าองค์กร เช่น หน่วยงานราชการ นิคมอุตสาหกรรม บริษัทเอกชน นอกจากนี้ ยังมีช่องทางผ่าน Online Travel Agent หรือเอเยนต์เจ้าของแพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวออนไลน์ โดยสัดส่วนลูกค้าจองผ่าน OTA มีจำนวน 70% ลูกค้าองค์กร 20% และลูกค้าติดต่อหน้าเคาน์เตอร์ หรือ walk in ประมาณ 10%.