ส่งออกเดือนม.ค.โตติดลมบน
ส่งออกเดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.60) ขยายตัว 8.8% จากคาดการณ์ 7-8% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 (พ.ย.-ธ.ค.59 และม.ค.60) ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นส่งผลสินค้าเกษตรมีราคาแพงขึ้นตามไปด้วย
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนได้จากตัวเลขปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดย เฉพาะสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป ต่างปรับตัวในทิศทางที่ดี ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญ และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเริ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การส่งออกไทยในเดือนม.ค. 60 ขยายตัวได้ 8.8% ต่อเนื่องจากปี 59 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และกลับเข้าสู่ระดับปกติเฉลี่ยของการส่งออกอีกครั้ง และหากเศรษฐกิจประเทศหลักฟื้นตัว จะทำให้ส่งออกไทยปีนี้เป็นบวกอย่างน้อย 3.5% หรือเฉลี่ยเดือนละ 18,572 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับสินค้าสำคัญที่เป็นตัวผลักดันการส่งออกในเดือนนี้ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ ทองคำ ยางพารา น้ำมันสำเร็จรูป ยางและผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และยานพาหนะ ในขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังขยายตัวได้ดีในเกือบทุกตลาด ยกเว้น ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และแอฟริกา
สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร ขยายตัว 9.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา ขยายตัว 62.5% เนื่องจากราคายางในตลาดโลกสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยส่งออกไปจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่นมากที่สุด ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 48.8% โดยส่งออกไปสหรัฐฯ เวียดนาม และจีน ไก่แปรรูป ขยายตัว 8.6% ส่งออกไปญี่ปุ่น ลาว และเกาหลีใต้ ในขณะที่ สินค้าเกษตรสำคัญที่ยังคงหดตัว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ลดลง 20.2% 11.1% และ 13.3% ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 4.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 4.0% (ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) ในขณะที่ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรสำคัญที่ยังคงหดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย ราคาสูงที่สุดในรอบ 3 เดือน แต่ปริมาณส่งออกลดและผลไม้กระป๋องและแปรรูป ลดลง 26.3% และ 6.8% ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 7.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูง ได้แก่ทองคำขยาย ตัว 157.6% โดยส่งออกไปสิงคโปร์ กัมพูชา และฮ่องกง เครื่องคอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ ขยายตัว 30.1% ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง และจีน แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัว 8.6% ส่งออกไปตลาดฮ่องกง จีน และสหรัฐฯ น้ำมันสำเร็จรูป ขยาย ตัว 48.3% ส่งออกไปตลาดสิงคโปร์ จีน และเวียดนาม ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 1.5% ส่งออกไปตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 28.2% ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ในขณะที่ สินค้าสำคัญที่หดตัวมาก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณี เครื่องประดับไม่รวมทอง ลดลง 5.9% 6.4% และ 4.7% ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกในตลาดสำคัญของไทยกว่า 80% ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 59 ขณะที่ ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา และทวีปออสเตรเลีย หดตัว โดยการส่งออกไปยังตลาดหลัก ขยายตัว 8.8% โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (15ประเทศ) มีการขยายตัวสูงสุดที่ 10.4% สหรัฐฯ และญี่ปุ่นขยายตัว 9.5% และ 6.4% ตามลำดับ
สำหรับตลาดศักยภาพสูง ขยายตัว 14.7% โดยมีสาเหตุสำคัญจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดจีน และเอเชียใต้ ที่ขยายตัว 30.8% และ 24.0% ตามลำดับ นอกจากนี้ การส่งออกไปยังเกาหลีใต้ อาเซียน (9 ประเทศ) และ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม) ขยายตัว 28.1% 10.3% และ 6.4% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา และทวีปออสเตรเลีย ยังหดตัวที่ 19.2% 1.6% และ 0.3% ตามลำดับ
ด้านการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนเดือนม.ค. 60 หดตัวที่ 15.1% โดยเป็นผลจากการหดตัวของการนำเข้าเป็นหลัก ขณะที่การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง มีรายละเอียด ดังนี้ การค้าชายแดน ระหว่างไทยกับมาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา มีมูลค่า 73,722 ล้านบาท ลดลง-15.0% แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 49,650 ล้านบาท ขยายตัว 0.4% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 24,072 ล้านบาท หดตัว 35.5% ในขณะที่การค้าผ่านแดน สิงคโปร์ จีนตอนใต้ เวียดนาม มีมูลค่า 15,260 ล้านบาท ลดลง 15.1% รวมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่าทั้งสิ้น 88,981 ล้านบาท ลดลง 15.1%.