“กกต. – กรธ.” เปิดศึกปม “เซ็ตซีโร่” องค์กรอิสระ
ช่วงนี้มีความพยายาม “ เซตซีโร่ ” กรรมการองค์กรอิสระ จากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. บางคน จนกลายเป็นข่าวฮือฮาในการเมืองบ้านเราในขณะนี้
โดยเฉพาะการโละองค์กรอิสระอย่าง “ กกต. ” คณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่กระแสพุ่งโจมตีมาที่ตัว “ สมชัย ศรีสุทธิยากร ” กรรมการ กกต.ด้านการเลือกตั้งเข้าอย่างจัง
เรื่องของเรื่องมาจาก บทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 273 บัญญัติว่า “ ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่เมื่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญใช้บังคับแล้ว การดำรงตำแหน่งต่อไปให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ในระหว่างเวลาที่ยังไม่มี พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้น ”
แต่ไฮไลท์อยู่ที่การเปิดโฉมร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฉบับใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ทำเอากรรมการ กกต.ถึงกับ “ ช็อค ” เพราะการกำหนดคุณสมบัติ ผู้ดำรงตำแหน่ง กกต.ให้สูงกว่าเดิม
เช่น ต้องเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยราชการเทียบเท่าอธิบดี ต้องเคยเป็นผู้พิพากษา หรืออัยการ ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 10 ปี และต้องมีตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมีประสบการณ์ด้านบริหารงานการเลือกตั้งมาไม่น้อยกว่า 20 ปี
แน่นอนว่า การร่างกฎหมายกกต.ที่เข้มงวดขึ้น เป็นเพราะมีอดีตประธานกกต.และอดีตกรมการกกต.ซึ่งเชี่ยวชาญการจัดเลือกตั้งมาอย่างโชกโชน ร่วมในการยกร่างฯ แทรกอยู่ด้วย จึงทำให้รู้ปัญหา กกต.ทะลุถึงกึ๋น
จึงเป็นเหตุให้กกต.ชุดที่กำลังทำหน้าที่อยู่หัวเสียทันที เพราะพุ่งเป้าโจมตีมาที่โดยตรง สังเกตได้จากอาการของ “ อาจารย์สมชัย ” ที่ย้อนศรกลับคืนว่า “ หากมีการเซตซีโร่จริงจะเป็นธรรมหรือไม่ และหลักการดังกล่าวจะมีการบังคับใช้กับองค์กรอิสระทุกแห่ง รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญด้วย ทั้งนี้ กกต.ไม่มีปัญหาที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ขอให้เป็นกฎกติกาที่มีความเป็นธรรม ”
ขณะที่ “ มีชัย ฤชุพันธุ์ ” พยายามตอบแบบเลี่ยงๆ “ว่าไม่ได้เป็นการเซตซีโร่องค์กรอิสระทุกองค์กร เพียงแต่จะกำหนดไว้ในกฎหมายลูกว่า ถ้าใครมีคุณสมบัติไม่ครบตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง ยืนยันว่าไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เพราะไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น และกรธ.มีงานหนัก ไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน”
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น กลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต จนถึงขั้นเปิด “ สงครามตอบโต้ ” กันไปมา นัยยะสำคัญของเรื่อง คือการเปิดไพ่ของกรธ.ออกมาให้เห็นว่าต้องการให้กรรมการกกต.บางคนพ้นจากตำแหน่ง ด้วยเหตุของการขาดคุณสมบัติเท่านั้น
ทำเอาต้นทางของแม่น้ำทุกสายอย่าง “ บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ” ออกมาส่งสัญญาเตือน ว่า “ ขอให้ทุกคนถ้อยที ถ้อยอาศัยกัน คุยกันให้รู้เรื่อง หากจะให้ปรามก็จะกลายเป็นว่าผมไปดุ เพราะ กกต.และ กรธ.ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น การที่ตอบโต้ไปมาผ่านสื่อจะทำให้สังคมเกิดความวิตกว่าจะเกิดความขัดแย้งอีกครั้งหรือไม่ ”
หากมองในแง่ของการเมือง สะท้อนให้เห็นว่า กรธ. มีความพยายามที่จะปฏิรูปองค์กรอิสระในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล หนีไม่พ้นองค์กรกกต.ที่เป็นองค์กรต้นๆถูกเพ่งเล็งว่ามีผลงานไม่เข้าตา ในช่วงหลังถูกท้วงติงมากกว่าองค์กรอิสระอื่นๆอยู่ตลอด
นอกจากนี้ การกำหนดคุณสมบัติกรรมการ กกต.ที่เข้มงวด เพราะที่สุดแล้ว กกต. คือตัวแทนของ “ ความเป็นกลาง ” และ “ ความเป็นธรรม ” รวมถึงเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาล หรือรัฐมนตรี ใช้อำนาจสั่งให้ช่วยเหลือผู้สมัคร จนทำให้การเลือกตั้งไม่โปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรม
จากนี้ไปคงต้องจับตา และตามลุ้นว่า กรธ.ว่าจะตัดสินใจอย่างไร และใช้อำนาจในมือชี้เป็นชี้ตาย กกต.อย่างไร