LPN กางแผน 6 เดือนหลังลุยเปิด10โครงการ1.5หมื่นล้าน
LPN เดินหน้าเปิดโครงการช่วงโค้งส่งท้ายปีต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 63 ทั้งคอนโดฯ-แนวราบ 10 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า15,000-16,000 ล้านบาท พร้อมตอกย้ำความเป็นชุมชนน่าอยู่ ทุ่มงบ 150 ล้านบาท กระตุ้นผ่านการโฆษณารีแบรนด์ดิ้งใหม่ในรอบ 10 ปี กับแนวคิด สร้างบ้านที่ “พอดี” กับการใช้ชีวิตจริง
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2562 ว่า บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2563 (ช่วง 6 เดือนหลัง) เบื้องต้น 10 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการกว่า 15,000-16,000 ล้านบาท ได้แก่ ในส่วนของอาคารชุดพักอาศัยที่แน่ชัด 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 11,050 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย รวม 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 5,420 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4 ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดพักอาศัยและบ้านพักอาศัย มูลค่ารวมกว่า 8,502 ล้านบาท ซึ่งในช่วงปลายเดือนต.ค. ทางLPN เตรียมจัดแคมเปญใหญ่ กระตุ้นยอดขายโครงการที่มีอยู่ โดยวางเป้าขายไว้ที่ 4,000 ล้านบาท ประกอบกับในไตรมาส 4 จะมี 4 โครงการคอนโดมิเนียมที่พร้อมอยู่ สามารถขายได้และโอนได้ทันที โดยไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย( LTV) จะมีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าปีนี้ รายได้ปีนี้รวมรายได้จากธุรกิจบริการจะอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท และคาดว่าปี 63 ตัวเลขจะใกล้ เคียงกับปี 62
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณารีแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี ผ่านหนังโฆษณา ”Dream Home” ภายใต้แนวคิด”ความพอดี ที่ดีกว่า”กับ 3 องค์ประกอบหลักได้แก่ 1.พอดีกับการออกแบบ 2.พอดีกับการใชัชีวิต และ 3.พอดีกับบริการ ซึ่งจะเน้นสื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าใจในชีวิตจริงเราต้องการ “บ้าน”แบบไหน ระหว่างบ้านที่ล้ำยุค ดีไซน์ล้ำสมัย ตรงตามค่านิยม “บ้านในฝัน” ของคนสมัยนี้ ที่อาจกลายเป็นฝันร้ายหลังเข้าอยู่ เพราะไม่ได้ออแบบมาจากการใช้ชีวิตจริง
“งบในการสื่อสารกับผู้บริโภคและการทำประชาสัมพันธ์ ควบคุมไปกับการเปิดโครงการใหม่ในช่วง 6 เดือนหลัง ประมาณ 150 ล้านบาท ซึ่งในแผนธุรกิจของ LPN ต้องการกระจายฐานรายได้ออกหลายๆส่วน เพื่อลดความเสี่ยง โดยยังคงรักษารายได้จากการสร้างและขายอาคารชุดพักอาศัยปีละหมื่นล้านบาท รวมถึงการขยายการเติบโตของโครงการบ้านพักอาศัยอย่างน้อย 50% ของอาคารชุดพักอาศัย “.