คปภ.ยกพลถอดบทเรียนแรกประกันภัยลำไย
คิ๊กออฟ “กรมธรรม์ประกันภัยลำไย” ฉบับแรกของโลก คปภ.ยกพลลงพื้นที่เชียงใหม่ หวังถอดบทเรียน เล็งเพิ่มความคุ้มครองเพื่อรองรับภัยธรรมชาติมากขึ้น เดินสายให้ความรู้ประกันภัยเชิงรุกแนวใหม่ ผ่านวิธี “เคาะประตูบ้าน” สร้างองค์ความรู้จากประสบการณ์จริง
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวถึงโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ปี 3 ว่า มีเป้าหมายหลักให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของประเทศ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัย และสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินแก่ตนเองและครอบครัวได้อย่างเหมาะสม โดยปีนี้ มีการลงพื้นที่พบปะชุมชนเผยแพร่ความรู้ประกันภัยเชิงรุกแนวใหม่ “แบบเคาะประตูบ้าน” ในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายจากภัยต่างๆ และได้รับการเยียวยาจากระบบประกันภัย เพื่อให้มีการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น
โดยเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา เลขาธิการ คปภ. ได้นำคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย รวมถึงผู้แทนจากกองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิต สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทประกันภัย ลงพื้นที่ในรูปแบบ Mobile Insurance Unit ซึ่งเป็นครั้งแรกของการลงพื้นที่ตามโครงการฯ เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยให้เหมาะสมกับบริบทของชุมชนลำไยมัดปุ๊ก บ้านร้องขุด อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ และจากข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ 2 พ.ค.62) พบว่า จ.เชียงใหม่มีพื้นที่เพาะปลูกลำไยแปลงใหญ่ทั้งสิ้น 315,177 ไร่ และคาดการณ์ผลผลิตรวม 261,225 ตัน
สำหรับในพื้นที่ อ.สันป่าตอง จากสถิติพบว่า ปี 62 มีพื้นที่เพาะปลูกลำไย 27,280 ไร่ โดยมีพื้นที่เพาะปลูกใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของ จ.เชียงใหม่ คาดการณ์ผลผลิตรวม 21,008 ตัน ถือเป็นอำเภอที่ได้ผลผลิตลำไยมากที่สุดอันดับ 5 ของจังหวัด รองจาก อ.จอมทอง อ.ดอยเต่า อ.พร้าว และ อ.สารภี โดย อ.สันป่าตอง มีเกษตรกรสวนลำไยที่ทำประกันภัยลำไย 115 ราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวชุมชนบ้านร้องขุด ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรชาวสวนลำไยมัดปุ๊ก และเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกลำไยแปลงใหญ่ มีการบริหารจัดการแบบกลุ่มเพื่อพัฒนาผลผลิตและการตลาด อีกทั้งยังเป็นผู้รวบรวมรับซื้อลำไยในพื้นที่ มีการรับซื้อเฉลี่ยวันละ 30 – 50 ตัน เพื่อจำหน่ายในประเทศ เช่น ตลาดไอยรา และตลาดไทย พร้อมทั้งส่งออกไปประเทศมาเลเซีย และจีน
โดยปัจจุบันมีสมาชิก 110 คน ครอบคลุมพื้นที่ 500 ไร่ มีสวนลำไย ที่ได้มาตรฐาน GAP จำนวน 70 แปลง และกำลังพัฒนาให้เป็นเกษตรอินทรีย์ จึงได้ลงพื้นที่ โดยเริ่มจากการเคาะประตูบ้านชาวบ้านในชุมชนเพื่อพูดคุย รับฟังสภาพปัญหาและเยี่ยมชม สวนลำไย ตลอดจน ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวและการจัดเก็บผลลำไย ฯลฯ เพื่อให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของเกษตรกรที่เพาะปลูกลำไย จากนั้นเพื่อให้ชาวชุมชนได้รับความรู้ด้านการประกันภัยลำไยอย่างต่อเนื่องและสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้จัดเวทีเสวนาให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ชุมชน โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงาน คปภ. อาทิ นายชัยยุทธ มังศรี ผช.เลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ นางคนึงนิจ สุจิตจร ที่ปรึกษา สำนักงาน คปภ. นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผช.เลขาธิการ สายกฎหมายและคดี นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา ผอ.บริหารสมาคมประกันวินาศภัยไทย และผู้แทนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยมีนายสุรินทร์ ตนะศุภผล ผช.เลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค เป็นผู้ดำเนินรายการเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการทำประกันภัยลำไย
สำหรับรูปแบบการให้ความรู้ด้านประกันภัยในครั้งนี้ ได้นำร่องให้ความรู้จากการถอดบทเรียนกรณีศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่เพื่อให้ชุมชนเข้าใจถึงบทบาทของระบบประกันภัยที่เข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยง พร้อมเปิดเวทีไขข้อข้องใจและแนะนำในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการทำประกันภัยลำไยเพื่อให้เป็นชุมชนต้นแบบขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ ในลักษณะการขับเคลื่อนรณรงค์จากฐานรากไปสู่ส่วนบน ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายคมสัน สุวรรณอัมพร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับและร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย โดยมี นายทองอินทร์ วงค์คำปัน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 บ้านร้องขุด ได้พาเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของชาวชุมชน รวมทั้งมีการจัดทำเทปบันทึกกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับชมผ่านรายการโทรทัศน์ทีวีดิจิทัลช่องอัมรินทร์ทีวี (ช่อง 34) อีกด้วย
ด้านนายประจวบ ทาก๊า หรือ พ่อหลวงประจวบ ชุมชนลำไยมัดปุ๊ก ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การลงพื้นที่ให้ความรู้ด้านประกันภัยลำไย โดยสำนักงาน คปภ. ภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และบริษัทผู้รับประกันภัยลำไยในครั้งนี้ ทำให้ชาวบ้านในชุมชนลำไยมัดปุ๊กเข้าใจระบบประกันภัยลำไยมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เกิดการตื่นตัวที่จะทำประกันภัยลำไยกันมากขึ้นด้วย โดยเห็นได้จากชาวบ้านให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก และมีคำถามเกี่ยวกับการทำประกันภัยลำไยในหลายประเด็น เช่น กรณีลำไยผลแตก เนื่องจากอากาศร้อนจะมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ กรณีที่มีการปลูกลำไยนอกฤดูกาลจะสามารถทำประกันภัยได้หรือไม่ กรณีเกษตรกรที่ไม่ใช่ลูกค้า ธ.ก.ส.จะทำประกันภัยได้หรือไม่ กรณีที่จะทำประกันภัยลำไยมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ฯลฯ ซึ่งวิทยากรได้ไขข้อข้องใจจนกระจ่างและทำให้ชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำประกันภัยลำไยเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงขอขอบคุณ สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยที่จัดขบวนองค์ความรู้ด้านประกันภัยสู่ประตูบ้านของชุมชนผ่านโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนปี 3
ส่วนนางชุติกาญจน์ กันทะธง เกษตรกรผู้ปลูกลำไย 6 ไร่ ในพื้นที่หมู่ 10 บ้านร้องขุด ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง กล่าวว่า การนำองค์ความรู้ด้านประกันภัยสู่ประตูบ้านชุมชนเช่นนี้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านในชุมชนเป็นอย่างมาก ทำให้เข้าใจถึงระบบการทำประกันภัยลำไยดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันชาวบ้านผู้ปลูกลำไยก็สามารถสะท้อนสภาพปัญหาและความต้องการที่จะให้บริษัทประกันภัยรับประกันภัยลำไยได้ตรงตามความต้องการ เช่น กรณีลำไยผลแตก ก่อนที่จะถึงระยะเวลาเก็บเกี่ยวบริษัทจะให้ความคุ้มครองหรือไม่ รวมทั้งควรเพิ่มความคุ้มครองอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ เช่นเดียวกับการประกันภัยข้าวนาปีได้หรือไม่ นอกจากนี้ควรขยายการประกันภัยไปยังพืชชนิดอื่นๆ เช่น หัวหอม และกระเทียม
ด้านเลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ชุมชนลำไยมัดปุ๊ก นอกจากรับฟังสภาพปัญหาด้านประกันภัยของชุมชนแห่งนี้แล้ว ยังได้รับรายงานจาก สำนักงาน คปภ. จ.เชียงใหม่ด้วยว่า ปัจจุบัน จ.เชียงใหม่มีเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง 14 อำเภอ และขณะนี้โครงการประกันภัยลำไยสามารถบรรเทาความเสียหายของเกษตรกรจากภัยแล้งได้ 584 ราย จำนวน 584 กรมธรรม์ เงินชดเชย 914 ,700 บาท และล่าสุด บมจ.ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) และ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ได้มอบเงินชดเชยแก่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ตามโครงการประกันภัยพืชผลลำไยจากภัยแล้ง โดยใช้ดัชนีน้ำฝน (ตรวจวัดด้วยดาวเทียม) ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่รอบ 2 (สะสม 1 มี.ค. – 30 เม.ย.62) โดยสามารถบรรเทาความเสียหายของเกษตรกรจากภัยแล้งได้ถึง 873 ราย จำนวนเงินชดเชย 2,497,800 บาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ได้มีการจ่ายเงินชดเชยแก่เกษตรกรผู้ปลูกลำไย รวมทั้ง 2 รอบ เป็นเงิน 3.41 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับเงินชดเชยสามารถนำเงินไปใช้ได้ทันสำหรับฟื้นฟูการเพาะปลูกลำไยต่อไป
“โครงการประกันภัยลำไย ถือเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยลำไยครั้งแรกของโลกและมีการใช้ดาวเทียมมาช่วยตรวจวัดความเสียหายเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งนานาชาติให้ความสนใจมาก โดยปีนี้กำหนดพื้นที่เป้าหมาย 100,000 ไร่ แต่เนื่องจากเพิ่งเปิดตัวโครงการมีระยะเวลาประชาสัมพันธ์น้อยและเกษตรกรยังขาดความรู้ความเข้าใจ จึงทำให้มีเกษตรกร เข้าร่วมโครงการเพียง 1,053 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่าเป้าหมาย โดยบริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการมีรายรับจากเบี้ยประกันภัยเพียง 540,429.79 บาท แต่มีการชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรผู้ทำประกันถึง 3.41 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเบี้ยประกันภัยที่ได้รับมาก จึงเป็นการบริหารความเสี่ยงที่คุ้มค่าและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง” เลขาธิการ คปภ. ย้ำและว่า
ในโครงการนำร่องกำหนดภัยธรรมชาติที่คุ้มครอง คือ “ภัยแล้ง” แต่จากการรับฟังความคิดเห็นของเกษตรกรผู้เพาะปลูกสะท้อนความต้องการที่อยากจะให้ครอบคลุมภัยธรรมชาติอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะได้นำไปทบทวนปรับปรุงเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยลำไยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อเกษตกรผู้เพาะปลูกอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ทางบริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการยังยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป ซี่งหากท่านมีข้อสงสัยหรือมีข้อเสนอแนะเรื่องประกันภัยลำไย สามารถสอบถามหรือให้ข้อแนะนำได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186.