จนท.เลือกตั้งอินโดฯทำงานหนัก ดับเกิน 300
10 วันหลังอินโดนีเซียจัดการเลือกตั้งภายในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุดในโลก มีเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 287 คน และตำรวจอีก 8 นายเสียชีวิต โดยส่วนใหญ่อ่อนเพลียจนเจ็บป่วยเนื่องจากทำงานหนักมากในการนับคะแนนการเลือกตั้งด้วยมือ ทางการอินโดนีเซียรายงานเมื่อวันที่ 28 เม.ย.
การเลือกตั้งในอินโดนีเซียที่มีขึ้นในวันที่ 17 เม.ย. นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศซึ่งมีประชากรมากถึง 260 ล้านคน มีการเลือกตั้งระดับชาติ และสภาในระดับท้องถิ่นพร้อมกันภายในวันเดียว เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
การใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย และมีการประเมินว่ามีผู้มาใช้สิทธิมากถึง 80% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 193 ล้านคน ซึ่งแต่ละคนจะได้รับแจกบัตรเลือกตั้งคนละ 5 ใบจากคูหาเลือกตั้งทั้งหมดกว่า 800,000 แห่ง
แต่การเลือกตั้งภายในเวลา 8 ชั่วโมงทั่วประเทศอินโดฯ ที่มีความกว้างจากตะวันตกไปตะวันออกถึง 5,000 ก.ม. ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานหนักมากจนเหนื่อยเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนับคะแนนเลือกตั้งด้วยมือตัวเอง
จนถึงคืนวันที่ 27 เม.ย. มีเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งเสียชีวิตแล้วถึง 287 ราย โดยสาเหตุคือพวกเขาทำงานหนักมากจนล้มป่วย ขณะที่ยังมีเจ้าหน้าที่ป่วยอีก 2,095 ราย อาเรียฟ ปรีโย ซูซานโต โฆษกของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (KPU)
กระทรวงสาธาณสุขออกจดหมายเวียนในวันที่ 23 เม.ย. เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานด้านการแพทย์ให้การดูแลเจ้าหน้าที่กกต. ขณะที่กระทรวงการคลังกำลังเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต โฆษก กกต.เสริม
และทาง KPU ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจากจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น
“ KPU ไม่ให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานหนักเกินไป” อาห์หมัด มูซานี รองประธานแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของผู้ลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนายพลปราโบโว ซูเบียนโตโวยวาย จากรายงานของเว็บไซต์ข่าว Kamparan.com
โดยปราโบโว ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้จากการนับคะแนนคร่าวๆ ได้กล่าวหาว่ามีการโกงผลการเลือกตั้ง โดยอ้างว่ามีการสับเปลี่ยนกล่องคะแนนเลือกตั้งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ขณะที่รมว.กระรวงความมั่นคงของวิโดโดระบุว่าการกล่าวหานี้ไม่มีหลักฐาน
ผู้สมัครทั้งสองคนต่างประกาศชัยชนะของตัวเอง แม้การนับคะแนนคร่าวๆจะชี้ว่า ประธานาธิบดีวิโดโดชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ประมาณ 9 – 10%
ทั้งนี้ KPU จะรวบรวมคะแนนเลือกตั้งและประกาศชื่อผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาในวันที่ 22 พ.ค.นี้.