“HOLY SMOKEY”ซี่โครงหมาร้องไห้ สูตรเด็ดโดนใจ
การทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารการกินไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ ณ ทำเลที่ใดก็สามารถขายได้ หากรสชาติอร่อย และถูกปากผู้บริโภค ยิ่งในยุคที่โซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามาบทบาทอย่างมากในวิถีการดำเนินชีวิต ยิ่งทำให้การสื่อสารสามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว ธุรกิจก็จะยิ่งเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว
วีระยุทธ และวีรภัทร วิชัยดิษฐ คือสองพี่น้องที่เลือกทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารการกิน โดยนำประสบการณ์ของการเป็นนักชิมมาปรับใช้จนได้สูตรที่เป็นเอกลักษณ์ และ Startup ธุรกิจของตนเองขึ้นมาภายใต้แบรนด์ “Holy Smokey” หรือซี่โครงหมาร้องไห้
–จากประสบการณ์สู่ธุรกิจ
วีระยุทธ ผู้พี่เป็นตัวแทนบอกถึงที่มาที่ไปของธุรกิจ ว่า ซี่โครงหมาร้องไห้ ความจริงแล้วก็คือซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิว แต่ที่ตั้งชื่อให้ออกมาในลักษณะดังกล่าวก็เพราะ เมื่อครั้งที่ได้ทดลองทำให้ที่บ้านชิม เมื่อรับประทานเสร็จคุณป้ามองเห็นซี่โครงหมูที่เหลืออยู่ ซึ่งแทบจะไม่เหลือเนื้อติดกระดูกเลย คุณป้ามีประโยคหนึ่งที่หลุดออกมาว่า รับประทานกันแบบนี้หมาร้องได้เลย เพราะแทบจะไม่เหลืออะไรให้หมาที่เลี้ยงไว้ที่บ้านได้รับประทานได้เลย จึงคิดว่าน่าจะนำชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อเรียกของซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิวของเรา เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ลูกค้าสามารถจดจำได้
สำหรับสูตรของซอสนั้น ต้องเรียนว่าได้มาจากประสบการณ์ของเรา 2 พี่น้องซึ่งมีโอกาสได้ไปศึกษายังต่างประเทศ และชื่นชอบการรับประทานซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิว โดยได้ตระเวนชิมหลายร้านที่ขึ้นชื่อว่าอร่อย และได้นำรสชาติที่เคยลิ้มลองมาปรับประยุกต์ใช้จนได้สูตรของตนเอง ซึ่งเป็นการผสมผสานเครื่องเทศที่มีกลิ่นอายของยุโรป ,เอเชีย และแอฟริกาเข้าไว้ด้วยกัน
“เมื่อได้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนเป็นเวลานานวันหนึ่งก็คิดถึงบ้านเกิด และอยากกลับมาเพื่อทำธุรกิจเป็นของตนเอง โดยได้หยิบยกนำความรู้และประสบการณ์ในการหัดทำ และชิมซี่โครงหมูย่างจากต่างประเทศ อีกทั้งยังเคยเป็นเชฟในโรงแรมที่ต่างประเทศมาก่อน ทุกอย่างจึงถูกหล่อหลอม และต่อยอดจนกลายเป็นการสร้างธุรกิจของตนเองขึ้นมาได้ในที่สุด”
–ซอสประยุกต์จากการตระเวนชิม
วีระยุทธ บอกต่อไปว่า จุดเริ่มต้นแรกที่เลือกนำธุรกิจของตนเองนำเสนอต่อผู้บริโภคคือตลาดนัดบริเวณหน้าห้างเดอะวอร์ค (The Walk) สาขาเกษตร-นวมินทร์ แต่ตลาดดังกล่าวก็มีเหตุให้ต้องปิดตัวลงในระยะเวลาต่อมา แต่ตนยังรู้สึกข้องใจเพราะยังไม่ได้พิสูจน์อะไรมากมายอย่างที่ตนตั้งใจไว้เกี่ยวกับทำธุรกิจในครั้งนี้ จึงเสาะหาทำเลใหม่ที่ยังไม่มีการจำหน่ายแบบฟู๊ด ทรัค (Food Truk) หรือรถขายของเคลื่อนที่มากนัก จนได้ทำเลใหม่ที่ตลาดบ้านพระยาสุเรนทร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะจำหน่ายอาหารประเภทข้าวมันไก่ หรือก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นอาหารธรรมดา ที่ผู้บริโภคมารับประทานอาหารแล้วก็รีบกลับ โดยยังไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการ
“เมื่อได้ทดลองทำตลาดไปในหลายทำเล สุดท้ายก็มาลงเอยที่ตลาดนัดกลางคืนคือ ตลาดมะลิ ที่เลียบด่วนเมืองทองธานี โดยถือเป็นทำเลที่ค่อนข้างจะตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการ และถือว่ามาถูกทาง เพราะเพียงแค่วันแรกก็สามารถจำหน่ายได้ 6-7 พันบาท เรียกว่าตรงตามไอเดียการทำธุรกิจในรูปแบบฟู้ด ทรัคตามที่คิดไว้”
ส่วนจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิวแบรนด์ Holy Smokey อยู่ที่รสชาติความอร่อยของซอสที่กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ได้จากการชิมรสชาติมาจากหลากหลายร้านขึ้นชื่อในต่างประเทศ บวกกับเรื่องของราคา และวัตถุดิบที่ใช้ที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยจำหน่ายแบบไม่ได้โกหกผู้บริโภค ซึ่งถ่ายรูปโปรโมทในเพจเฟสบุ๊ก (www.facebook.com/holysmokeyy)ออกมาอย่างไรก็จะได้รับประทานแบบนั้น โดยเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ และได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิวแบรนด์ Holy Smokey มี 3 ขนาดให้ลูกค้าได้เลือก ได้แก่ ถาดเล็ก 119 บาท มีซี่โครงทั้งหมด 4 ซี่ ,ถาดกลาง 219 บาท มีซี่โครง 8 ซี่ และถาดใหญ่ราคา 309 บาท มีซี่โครงทั้งหมด 12 ซี่ โดยเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วและสูตรชีส ใช้ผักกะหล่ำม่วงดองและแอปเปิ้ลดองเป็นเครื่องเคียง พร้อมด้วยเฟรนฟรายด์บวกราคาเพิ่มชุดละ 30 บาท นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ ได้แก่ ซีซาร์สลัด คอหมูย่าง และปีกไก่แบบบอนชอน
–เล็งเพิ่มสาขาปูทางสู่แฟรนไชน์
วีระยุทธ บอกอีกว่า แผนในการขยายตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้านั้น กำลังพิจาณาอยู่ว่าไม่ภายในปีนี้ก็ปีหน้าจะมีการเพิ่มสาขาในการจำหน่ายมาที่ทำเลแถวเกษตร-นวมินทร์อีกครั้ง โดยมองไว้ที่ตลาดหัวมุม หรือตลาดนัดเลียบทางด่วนรามอินทราที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งการขยายในครั้งดังกล่าวนี้จะใช้รูปแบบของการตั้งเป็นบูธเพื่อจำหน่าย และมีพื้นที่ให้ลูกค้าได้นั่งรับประทาน
“การขยายมาในพื้นที่เกษตร-นวมนิทร์ก็เพราะเป็นทำเลที่ใกล้บ้าน และเพื่อเป็นการรองรับการให้บริการลูกค้าในรูปแบเดลิเวอร์รี่ เพราะในปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับจัดส่งอาหารให้บริการมากมาย และยังเป็นไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค นอกจากนี้การที่มี 2 สาขา ตนยังสามารถส่งออเดอร์ของลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ระหว่างทางของทั้ง 2 สาขาได้อีกด้วย”
อย่างไรก็ดี หากถามว่าจะมีการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชน์หรือไม่นั้น ก็เป็นแผนที่มองเอาไว้ในอนาคตเหมือนกัน เพียงแต่เวลานี้ต้องการทำด้วยตนเองมากกว่าก่อน เพื่อเป็นการศึกษารายละเอียดของธุรกิจให้ลึกซึ้งมากขึ้น และเพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของแบรนด์ ซึ่งจะช่วยทำให้สามารถอธิบายต่อผู้ที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบแฟรนไชน์ได้
“หลักคิดการทำธุรกิจที่ตนยึดถึงมาตลอดก็คือ ใช้ความจริงใจและไม่โกหกลูกค้า โดยทำในสิ่งที่ตนเองชอบ อยู่กับงานที่ทำอย่างมีความสุข ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้งานออกมาดี และมีคุณภาพ”.