สิงคโปร์กว้านซื้อย่านเมืองเก่าปีนัง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่านเมืองเก่าในปีนังกำลังส่งสัญญาณร้อนระอุ
จากนักลงทุนชาวสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนกว้านซื้อร้านค้าที่เป็นอาคารเก่าแก่สมัยก่อนสงครามไปทั้งแถบ และดันให้ราคาค่าเช่าพุ่งทะยานสูงลิ่วไปมากกว่า 500%
ห้องแถวติดกัน 12 คูหาใกล้สุดถนนคอมตาร์ย่านจาลัน พินตัล ตาลี (หรือชื่อเดิมว่า โรปวอล์ค) ถูกเรียกว่า ‘ลิตเติ้ลสิงคโปร์ ’ เพราะรูปลักษณ์ของอาคารที่คล้ายกับอาคารสมัยก่อนสงครามในสิงคโปร์
ความคล้ายคลึงอีกอย่างคือราคาที่เหมือนกับในสิงคโปร์ คือราคาค่าเช่าที่แพงลิบ คือประมาณ 7,000-10,000 ริงกิตต่อเดือน พุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าค่าเช่าเดิม 1,300 ริงกิตต่อเดือนในปี 2553 เกือบ 5 เท่า
โดยชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการในปีนังคือ ย่าน 7 ถนน ซึ่งในปัจจุบัน ชาวสิงคโปร์ได้ซื้อห้องแถวทั้งแถบถนนนูร์ดินซึ่งชาวจีนในปีนังในอดีตเป็นผู้สร้างขึ้น
ในทำเลย่านระดับหรูหราอย่างถนนชูเลีย ก็เป็นที่รู้กันว่าราคาค่าเช่าพุ่งไปถึง 7,000 ริงกิตต่อห้องต่อเดือน แต่ในทางตรงกันข้าม ร้านค้าบนถนนควีนส์และถนนไชน่า ที่ตระกูลชาวจีนฮกเกี้ยนเป็นเจ้าของกลับมีค่าเช่าเพียง 1,500 – 2,700 ริงกิตต่อเดือนเท่านั้น
จากราคาค่าเช่าที่สูงเกินนี้ทำให้เหล่าเอ็นจีโอหรือนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมพยายามล็อบบี้เพื่อให้มีการควบคุมค่าเช่าเพื่อปกป้องไม่ให้ผู้อยู่อาศัยเดิมและธุรกิจเก่าแก่ต้องถูกบีบให้ออกไปจากย่านนี้
มีรายงานว่า อย่างน้อยหนึ่งแห่งที่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสิงคโปร์ ซึ่งลงทุนประมาณ 100 ล้านริงกิตในอาคารร้านค้าเก่าสมัยก่อนสงครามประมาณ 150 ห้อง
ในเดือนต.ค.ทางบริษัทประกาศว่า ได้ลงทุนประมาณ 43.4 ล้านริงกิตเพื่อครอบครองหุ้น 90% ของบริษัทในมาเลเซียที่เป็นเจ้าของอีก 4 บริษัทที่จดทะเบียนในปีนัง โดยแหล่งข่าวกล่าวว่า บริษัทเหล่านั้นได้เริ่มซื้ออาคารเก่าสมัยก่อนสงครามมาตั้งแต่เดือนธ.ค.2556
นายเชียห์ กงสี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้าประมาณ 100 คูหายังคงเก็บค่าเช่าในราคาประมาณ 1,500 -2,700 ริงกิตต่อเดือน
เขากล่าวว่า “เรารู้ราคาค่าเช่าในตลาด แต่นโยบายของเราคือสนับสนุนมรดกโลกให้มีชีวิตชีวาด้วยค่าเช่าต่ำ เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิ์ที่จะหากำไรจากทรัพย์สินของตัวเอง แต่สำหรับตระกูลกงสีของผม เราเชื่อในการรักษาสถานภาพความเป็นมรดกโลกใ้ห้มั่นคงอยู่ต่อไป”
นายมาร์ค เลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งคณะทำงานเพื่อเมืองจอร์จทาวน์ (หรือปีนัง) กล่าวว่า กลุ่มของพวกเขากำลังพยายามล็อบบี้เพื่อให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของอาคารในเมืองเก่านี้ขึ้นราคาค่าเช่าอย่างแพงลิบลิ่ว
เขากล่าวว่า “เรารู้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานความพอใจของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อแต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจกัดกร่อนเมืองจอร์จทาวน์ ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก เราต้องการให้มีการทำประชาพิจารณ์ในเรื่องนี้ และอยากให้ชาวปีนังตระหนักรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในเมืองนี้ ”