ทรัมป์ป้องยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้อพยพ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ กล่าวปกป้องการใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่กลุ่มผู้อพยพ (ซึ่งมีเด็กๆ รวมอยู่ด้วย) ที่พยายามจะข้ามพรมแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโกเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ประจำชายแดนจำเป็นต้องทำเช่นนั้น “ เพราะพวกเขาถูกบีบด้วยกลุ่มคนที่เถื่อนมากๆ ” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว
นักวิจารณ์กล่าวหารัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ว่ามีปฏิบัติการที่เข้มงวดเกินไป ขณะที่เม็กซิโกเรียกร้องให้สหรัฐฯสอบสวนกรณีการใช้แก๊สน้ำตา
โดยเม็กซิโกระบุว่า ได้เนรเทศผู้อพยพเกือบ 100 คนที่พยายามจะฝ่าเข้าไปในสหรัฐฯ
การเผชิญหน้าเมื่อวันที่ 25 พ.ย.เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มผู้อพยพที่แฝงตัวมากับกลุ่มเดินขบวนประท้วงที่เมืองติฮัวนาและหนีกระจัดกระจายกันไปจนยากแก่การควบคุม มีผู้อพยพหลายร้อยคนที่พยายามจะฝ่าด่านที่กั้นระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐฯ
ขณะที่ศุลกากรสหรัฐฯ ซึ่งประจำการที่พรมแดนระบุว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรถูกทำร้ายเนื่องจากผู้อพยพขว้างปาสิ่งของเข้าใส่
ในกลุ่มผู้อพยพมีผู้หญิงและเด็กที่พยายามจะปกป้องตัวเองจากแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯยิงเข้าใส่ เป็นการปราบปรามเหตุรุนแรงที่ทำให้นักเคลื่อนไหวและนักการเมืองพากันออกมาประณาม
ในการกล่าวสุนทรพจน์ในรัฐมิสซิสซิปปี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าเจ้าหน้าที่ประจำชายแดนมีสิทธิที่จะใช้แก๊สน้ำตา “ ขอย้ำชัดๆว่า ไม่มีใครจะเข้ามาในประเทศของเราได้ ด้วยวิธีการผิดกฏหมาย ”
ผู้นำสหรัฐฯเสริมว่า การใช้แก๊สน้ำตา “ ปลอดภัยมาก ” และเป็นแก๊สน้ำตา “ ที่อ่อนมากๆ ”
อย่างไรก็ตาม มีความขัดแย้งกับผู้สื่อข่าวในที่เกิดเหตุ ซึ่งระบุว่าแก๊สน้ำตามีฤทธิ์ทำให้เจ็บปวดมาก แม้จะอยู่ในระยะห่างก็ตาม
อ้างอิงจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แก๊สน้ำตาทำให้เกิดอาการแสบตาและปาก หายใจติดขัด ผิวไหม้ หรือมีผื่น อาการที่รุนแรงกว่านั้นคืออาจทำให้ตาบอด หรือมีปัญหาการหายใจ
อนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมีห้ามไม่ให้ใช้แก๊สน้ำตาในสงคราม แต่อนุญาตให้ใช้เพื่อจุดประสงค์ในการควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปตามกฎหมายในประเทศได้
คริสเตน นีลเซน รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกล่าวปกป้องการใช้แก๊สน้ำตา โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ชายแดนจำเป็นต้อง “ป้องกันตนเอง”
อย่างไรก็ตาม รมว.กระทรวงต่างประเทศเม็กซิโกส่งเอกสารทางการทูตให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อาวุธที่ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต และเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
ประธานาธิบดีทรัมป์โต้กลับว่า เหตุใดพ่อแม่จึงพาลูกๆมาในที่เกิดเหตุ และกล่าวหาว่าหลายคนที่พรมแดนไม่ใช่ผู้ปกครองของเด็กจริงๆ แต่ เป็นคนที่พาเด็กๆมาด้วยเพื่อเพิ่มโอกาสในการยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัย
ขณะที่รมว.นีลเซนกล่าวหาผู้ประสานงานในคาราวานผู้อพยพว่าใช้ผู้หญิงและเด็กมาเป็น “โล่มนุษย์” ในระหว่างการเผชิญกับการบังคับใช้กฎหมาย “ ทำให้คนที่อ่อนแอต้องตกอยู่ในอันตราย”
แต่ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และรมว.นีลเซนพูดแก้ตัวโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุนแต่อย่างใด
กลุ่มผู้อพยพประมาณ 7,500 คนเดินทางมาถึงพรมแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโกในช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้ โดยผู้อพยพส่วนใหญ่มาจากฮอนดูรัส แต่ก็มีบางส่วนที่มาจากกัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์ พวกเขากล่าวว่าอพยพหนีมาจากความรุนแรงในประเทศบ้านเกิด และมองหาชีวิตที่ดีกว่าสำหรับพวกเขาและครอบครัวของพวกเขา
ภาพของมาเรีย เมซา และลูกสาวทั้งสองคนที่วิ่งหนีแก๊สน้ำตาอย่างทุลักทุเลแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ และสื่อหลายสำนักใช้ภาพนี้ประกอบรายงานข่าวความรุนแรง โดยเมซา ซึ่งมาจากฮอนดูรัส ระบุว่าเธอไม่ได้พยายามจะข้ามพรมแดน และเธอแค่มองไปที่รั้วว่าตรงไหนที่มีการยิงแก๊สน้ำตาออกมา “ฉันกลัวมาก ฉันคว้าตัวลูกสาวแล้วก็วิ่ง ฉันคิดว่าลูกคงจะตายไปพร้อมกับฉัน เพราะเราสูดแก๊สเข้าไป”
ผู้อพยพเดินทางมาเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เรียกว่า ‘กองคาราวาน’ เป็นระยะทางไกลกว่า 4,000 ก.ม.จากหลายประเทศในอเมริกากลาง
ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันหนักแน่นว่า ผู้อพยพต้องรออยู่ในฝั่งเม็กซิโกจนกว่าศาลจะอนุมัติคำร้องของพวกเขาเป็นรายบุคคล ซึ่งหมายความว่าหลายคนจะต้องรอเป็นเวลานาน.