สนพ. เผยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภาคพลังงานครึ่งปี 65
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงาน 6 เดือนแรกของปี 2565 พบว่า เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ของภาครัฐ ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นในทุกประเภทพลังงาน ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบดัชนีการปล่อยก๊าซ CO2 ภาคพลังงานของประเทศไทยกับต่างประเทศพบว่า ประเทศไทยมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงาน และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยการผลิตไฟฟ้า (kWh) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศจีน) และประเทศจีน
นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน 6 เดือนแรกของปี2565 อยู่ที่ 131.8 ล้านตัน CO2 ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ในขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้าลดลง สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานของประเทศในช่วงอดีตที่ผ่านมานั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่หลังภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจาก 145.5 ล้านตัน CO2 ในปี 2541 เป็น 263.4 ล้านตัน CO2 ในปี 2561 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.0% ต่อปี สอดคล้องกับการใช้พลังงานของประเทศที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.7% ต่อปี ส่วนปี 2562 การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานอยู่ที่ 257.4 ล้านตัน CO2 ซึ่งลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มมากขึ้นตามนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนของรัฐบาล จึงท่าให้การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานลดลงแม้ว่าจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในปี 2564 การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานอยู่ที่ 244.0 ล้านตัน CO2 ซึ่งลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19
นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 2/2565 ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทย ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.5% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 2.3% ทั้งนี้เป็นผลกระทบจากส่งออกบริการเพิ่มขึ้นถึง 54.3% เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชน และการอุปโภคภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งภาคการผลิตที่ขยายตัวได้ดี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นส่งผลต่อการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน ดังนี้ ภาคการขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 30% เพิ่มขึ้น 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ภาคอุตสาหกรรม มีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.9% อยู่ที่ 63.8% ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 5% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.1% ในขณะที่ ภาคการผลิตไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 สูงสุด คือ 32% ของการปล่อยก๊าซ CO2 ทั้งหมด มีการปล่อยก๊าซ CO2 ลดลง 5.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงหลักที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 พบว่า น้ำมันสำเร็จรูปมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 สูงที่สุด คือ 40% รองลงมา คือ ถ่านหิน/ลิกไนต์ 31% และก๊าซธรรมชาติ 29% ทั้งนี้ น้ำมันสำเร็จรูป มีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.1% ถ่านหิน/ลิกไนต์ มีการปล่อยมีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้น 9.8% ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติมีการปล่อยก๊าซ CO2 ลดลง 3.6%
นายวัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานของประเทศไทยกับต่างประเทศแล้วจะพบว่า ประเทศไทยนั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ที่ระดับเฉลี่ย 2.06 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศจีน) ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน รวมทั้งค่าเฉลี่ยของโลกการที่ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานก็ค่อนข้างต่ำเช่นกัน เนื่องมาจากปรเทศไทยมีนโยบายด้านพลังงานที่คำนิงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2022) ซึ่งแผนดังกล่าวมีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกมากขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศตามหลักเกณฑ์ของ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC)