ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 10-11 ก.ค. 2565
เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกแถลงการณ์ กลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคต
เรื่องที่ 1,241 แกนที่ 1 : โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศที่ใหญ่ที่สุด และบูรณาการมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย คือโครงการสร้างทางรถไฟ ถนน สนามบิน หรือท่าเรือ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความรุ่งเรืองมั่งคั่งของทุกคน โครงการที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างยาวนานหลายปี และตอนนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
แกนที่ 2 : สร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับคนไทย โดยภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงต่างๆ และจะต้องทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาที่ถูกลง สำหรับคนไทยทุกคน รวมถึงทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
แกนที่ 3 : การสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงให้กับประเทศ เพื่อที่จะช่วยทุกคนให้สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้อย่างยั่งยืน โดยอาศัยภาคการธนาคาร
ต้องบอกว่านี่คือสัญญาณใหม่จากนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่สัญญาณการบอกกับประชาชนว่า มีแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างไร หากแต่เป็นสัญญาณว่า บิ๊กตู่ พร้อมที่จะอยู่เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
ต้องยอมรับว่าเกือบ 8 ปีในตำแหน่งผู้นำประเทศ คะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ถดถอยลงตามลำดับ ยิ่งมีกระแสชัชชาติ ฟีเวอร์ ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
กระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ และพี่น้อง 3 ป ก็ยังจะไปต่อ แม้ความศรัทธาของประชาชนจะเหลือน้อยเต็มทีก็ตาม
เรื่องที่ 1,242 ถือว่าทำได้อย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้สำหรับท่านรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ซึ่งเวลานี้อยู่ในช่วงของการรักษาอาการของการติดเชื้อโควิด-19 โดยที่ท่านเคยบอกไว้ว่าจะไม่ให้กระทบการทำงาน และพร้อมทำงานแบบ work from home โดยล่าสุดท่านได้ดำเนินการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพืชกัญชงในประเทศไทย พัฒนาอุตสาหกรรมสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำแผนปฏิบัติการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจไทย และสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
“สุริยะ” เชื่อว่าการดำนเนินการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานกัญชง ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก และตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายใหญ่เบิ้ม โดยการจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางพืชกัญชงเชิงอุตสาหกรรมแห่งอาเซียน (Industrial Hemp Hub of ASEAN) ภายใน 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อไร่ เรียกว่างานดีไม่น้อยสำหรับการดำเนินนโยบายครั้งนี้ หากสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจพี่น้องเกษตรกรไทยก็คงจะพอมีสะตุ้งสตางค์มาสู้กับค่าครองชีพมหาโหดในยุคนี้กันได้ครับผม
โดยนพวัชร์