ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 6-7 ก.ค.2565
เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ปรี๊ดแตก ด่า พิธีกรชื่อดัง “หมาแก่” ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ยับเยิน
เรื่องที่ 1,230 อนุทิน ใช้คำว่า “มีแต่โง่แล้วอวดฉลาด แต่นี่โง่แล้วยังอวดโง่ ด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความเบาปัญญา”
เรื่องของเรื่องคือ อนุทิน เคืองอย่างหนักกับกรณีที่ “ดนัย” วิพากษ์ วิจารณ์นโยบายปลดล็อกเสรีกัญชาของพรรคภูมิใจไทย อย่างรุนแรง ว่าไม่มีมาตรการควบคุม
อนุทิน ไม่ได้พูดธรรมดา แต่ขึ้นพูดบนเวที เปิดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติและการประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 19 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สร้างเศรษฐกิจไทย ด้วยกัญชาไทย นวดไทย อาหารไทย” และจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
เขา บอกว่า อยากจะเชิญชวนใครก็ตามที่ไม่เข้าใจกัญชา หัดมาเที่ยวงานนี้บ้าง ไม่เสียค่าผ่านประตู เพื่อดูว่าสมุนไพรของไทย สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประโยชน์ต่อประเทศอย่างไร จะได้เห็นว่าคนที่มองปัญหาคือโอกาสคือผู้ชนะ ผู้ที่มองโอกาสเป็นปัญหาคือผู้แพ้ ถ้าเป็นผู้แพ้ อย่าได้เที่ยวไปให้ความรู้ผิดๆ ที่ปราศจากความเข้าใจ และเป็นความโง่เขลา ออกไปให้กับประชาชนทั่วประเทศได้ฟังกัน อายเขา
เรื่องที่ 1,231 ซัดกันนัวหมัดต่อหมัดแบบไม่มีใครยอมใคร ระหว่างพรรคกล้า ซึ่งนำโดย “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรค ที่ระบุว่าทำเพื่อประชาชน แต่ก็น่าจะประสงค์ผลทางการเมืองแฝงด้วย กับฝ่ายดำเนินนโยบายฝั่งรัฐบาลอย่างกระทรวงพลังงานที่มี “พี่พงษ์ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงานคุมบังเหียนอยู่ เริ่มมาตั้งแต่ค่าการกลั่นน้ำมันที่ “กรณ์” อ้างว่าสูงขึ้นกว่า 10 เท่า ซึ่งทางฝั่งพลังงานก็นำข้อมูลออกมาตอบโต้ด้วยค่าการเฉลี่ย 10 ปี และค่าการกลั่นปัจจุบันที่ไม่ได้สูงขนาดที่ “กรณ์” นำ
มาแอบอ้าง โดยไปหยิบยกข้อมูลมาเปรียบเทียบแค่ 2 ปีย้อนหลัง และเป็นช่วงที่โควิดระบาดอีก ความต้องการใช้น้ำมันมีน้อย แต่ก็ช่วยให้ประชาชนตื่นตัว และทำให้รัฐเต้นผางจนต้องรีบดำเนินการถกกับโรงกลั่นเพื่อให้นำกำไรส่วนต่างมาจัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน แต่จนแล้วจนรอดป่านนี้ก็ยังไม่ได้บทสรุป
ล่าสุด “กรณ์” รุกต่อมาถึงค่าการตลาด โดยระบุว่า “พี่พงษ์” มีความหละหลวมในการดูแลประชาชนอย่างมาก ซึ่ง 3-4 วันที่ผ่านมานี้ ได้ปล่อยให้ผู้ขายนํ้ามันเพิ่มค่าการตลาด (รายได้ของผู้ค้าน้ำมัน) ในกรณีของเบนซินขึ้นมาสูงเกินมาตรฐานปกติอย่างมาก โดยวันที่ 5 ก.ค. ค่าการตลาด Gasohol95 E10 สูงถึง 3.42 บาทต่อลิตร ส่วน Gasohol 91 อยู่ที่ 3.62 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดปกติไม่ควรเกิน 2 บาท ซึ่งประเด็นที่ “กรณ์” อย่างสื่อก็คือ ราคานํ้ามันที่รับจากโรงกลั่นน้ำมันถูกลง แต่ราคาหน้าปั้มยังอยู่ในระดับเดิม
แน่นอนว่างานนี้กระทรวงพลังงานไม่ยอมโดนซัดฝ่ายเดียว ออกโรงโต้กลับทันที โดย “พี่ต๊ะ สมภพ พัฒนอริยางกูล” โฆษกกระทรวงพลังงาน ระบุว่าจากแนวทางการพิจารณาค่าการตลาดอ้างอิงของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในการพิจารณาค่าการตลาดควรดูในภาพรวมของทุกชนิดน้ำมัน เพราะสถานีบริการไม่ได้จำหน่ายน้ำมันเพียงชนิดเดียว และไม่ควรเปรียบเทียบค่าการตลาดเป็นรายวัน เนื่องจากราคาเนื้อน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงทุกวันตามราคาตลาดโลก โดยหากพิจารณาในปีนี้ค่าเฉลี่ยของค่าการตลาดในแต่ละเดือนก็อยู่ในกรอบที่ภาครัฐติดตามดูแล
หากพิจารณาค่าการตลาดโดยรวมของสถานีบริการ (เฉลี่ยของทุกชนิดน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล) ตั้งแต่วันที่ 1 – 6 ก.ค. 2565 อยู่ที่ 2.17 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของปี 2564 ทั้งปี (2.14 บาทต่อลิตร) และอยู่ในกรอบที่ภาครัฐติดตามดูแล (2.00 +/- 0.40 บาทต่อลิตร) เมื่อฝ่ายการเมืองชนกับนักวิชาการเรื่องราวก็เลยออกมาเป็นเฉกเช่นนี้แล บก.ชวนคุยคงไม่ขอเอาใจเอนเอียงไปอยู่ฝ่ายใด แค่ขอให้ประชาชนได้ประโยชน์ก็พอ
เรื่องที่ 1,232 ผลของการเจรจาประนอมหนี้ ท้ายที่สุดเป็นอย่างไร ธนาคารทั่วไปมักจะให้สี เช่น สีเหลือง ขาว ดำแดง เพื่อเป็นจุดสังเกตว่า ลูกหนี้รายนั้น มีสถานะการเงินถึงขั้นไหน เช่น ลูกหนี้ดี ก็มักจะใช้สีเขียว แสดงว่า มีฐานะการเงินดี ผ่อนส่งหนี้ครบตามจำนวนที่กำหนด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ลูกหนี้สีเหลือง ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีแต่เริ่มส่อเค้าลางไม่ดี เช่น ชำระไม่ตรงตามเวลาที่กำหนด เงินงวดที่จ่ายลดลงและมีการเจรจาของปรับวงเงินชำระหนี้ จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนลูกหนี้ สีแดง ถ้ามาถึงขั้นนี้ถือว่า กลายเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ชำระหนี้ไม่ตรงเวลาหลายงวด เริ่มหยุดส่งหนี้ และติดต่อไม่ได้
สีต่างๆ เหล่านี้ มองเห็นแว็บเดียว ก็พอเดาออกว่า สีไหนอันตราย หรือไม่อันตราย
ประเด็นนี้ มีเรื่องแปลงแต่จริงคือ “น้องกร-สิทธิกร ดิเรกสุนทร” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กรณีลูกหนี้มีปัญหาต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด บสย.ยืนยัน ไม่ใช้สีแดง แต่ใช้ “สีม่วง” แทน เพราะ “น้องกร” บอกว่า สีม่วงดีแล้วครับ ลูกหนี้ที่อยู่ในเกณฑ์นี้ คง “ช้ำเลือดช้ำหนอง” มาพอสมควรแล้ว จะใช้สีแดงเป็นสัญญาลักษณ์คงไม่ถูก สีม่วงน่าจะดีที่สุดครับลูกพี่
โดยนพวัชร์