สีย้ำไม่ยอมเสียดินแดนจีนแม้แต่นิ้วเดียว
จีนให้คำมั่นเรื่องสันติภาพ แต่จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่นิ้วเดียว ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนกล่าว หลังมีการประชุมกับเจมส์ แมททิส รมว.กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯที่เดินทางมาเยือนจีน
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศยกระดับเพิ่มขึ้น ทั้งทางด้านการค้าและกรณีการเข้ายึดครองพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ของจีน
โดยรมว.แมททิสเป็นรมว.กลาโหมสหรัฐฯ คนแรกที่มาเยือนจีนตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา โดยเขาอยู่ระหว่างทริปการเยือนทั่วเอเชีย เพื่อพบปะพูดคุยกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ
รมว.แมททิสระบุว่า การพูดคุยของเขากับประธานาธิบดีสีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.เป็นเรื่องที่ดีมากๆ โดยเสริมว่า สหรัฐฯกำลังกำหนดนโยบายที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางทหารกับจีน
ผู้นำจีนเสริมว่า จีนมีเจตนาที่เปี่ยมสันติภาพ แต่ย้ำความเห็นของเขาว่า จะไม่มีการผ่อนปรนจากจีนในเรื่องอาณาเขตของจีน
“ เราไม่อาจเสียพื้นที่แม้แต่นิ้วเดียวของดินแดนที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เราได้ ” ประธานาธิบดีสีกล่าว อ้างอิงจากการรายงานของสื่อ
ที่ผ่านมา สหรัฐฯกล่าววิจารณ์ความเคลื่อนไหวของจีนในทะเลจีนใต้ซ้ำๆหลายครั้ง โดยกล่าวหาว่า จีนขู่คุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และมีการจัดตั้งฐานทัพในพื้นที่บริเวณนี้
หลายประเทศต่างอ้างสิทธิครอบครองในทะเลจีนใต้ แต่จีนอ้างสิทธิในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่สุด โดยระบุถึงสิทธิย้อนหลังของจีนไปนับศตวรรษ
ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญ และมีปลาชุกชุม และคาดว่าจะมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
การเดินทางเยือนประเทศในเอเชียของรมว.กลาโหมสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจบการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีคิมจองอึนแห่งเกาหลีเหนือที่สิงคโปร์ และในวันที่ 28 มิ.ย. รมว.แมททิสออกเดินทางไปเกาหลีใต้ต่อ เพื่อเข้าพบรมว.กระทรวงกลาโหมซงยังมู
โดยรมว.กลาโหมจากวอชิงตัน ต้องให้ความมั่นใจกับทางโซลว่า สหรัฐฯ มีข้อผูกพันด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่ยังคงมีประสิทธิภาพแข็งแกร่งดังเดิม
โดยรมว.แมททิสระบุว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่สั่งยุติการร่วมซ้อมรบกับทหารเกาหลีใต้จะเป็นการสร้างโอกาสเพิ่มขึ้นสำหรับนักการทูตของเราในการเจรจา เพิ่มเป้าหมายในการหาทางออกที่มีสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
การตัดสินใจของทรัมป์ที่ยกเลิกการซ้อมรบร่วมกัน ซึ่งมีขึ้นหลังการประชุมกับประธานาธิบดีคิม ถือเป็นการยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่ให้กับประเทศเกาหลีเหนือ และดูจะทำให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯในภูมิภาครู้สึกประหลาดใจ
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือมองว่าการร่วมซ้อมรบประจำปีของสองประเทศเหมือนเป็นการฝึกซ้อมเพื่อการบุกจู่โจมและเป็นการยั่วยุ แต่รัฐบาลเกาหลีใต้ยืนยันว่าเป็นการป้องกันประเทศตามธรรมชาติ.