ศาลสูงสหรัฐฯหนุนทรัมป์แบน 7 ชาติเข้าประเทศ
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินเข้าข้างคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในเดือนก.ย.ปีก่อนที่สั่งห้ามไม่ให้ 7 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ
จากการลงมติที่ชนะไป 5-4 ในคำตัดสินที่ John Reberts หัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษาเขียนคือ ศาลพบว่าคำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์ถือเป็นอำนาจโดยตรงของประธานาธิบดี ศาลปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่าคำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์มีแรงจูงใจมาจากความเป็นปรปักษ์ทางศาสนา
“ คำสั่งนี้เป็นการเสนอแนะเพื่อจุดประสงค์ในทางกฎหมาย คือ การป้องกันการเข้ามาของคนหลายชาติที่ขาดการตรวจสอบที่เพียงพอ และชักจูงให้ชาติอื่นปฏิบัติตาม ไม่มีข้อความใดที่ระบุเกี่ยวกับศาสนา”
โดยคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐฮาวาย กลายเป็นหลักการของนโยบายการเดินทางของคณะรัฐบาล ที่แสดงให้เห็นบททดสอบสำคัญของแนวนโยบายของประธานาธิบดีที่เข้มงวดกับระบบตรวจคนเข้าเมืองและความมั่นคงของพรมแดนอเมริกา
ทั้งนี้ ทรัมป์ซึ่งออกคำสั่งห้ามนี้ตั้งแต่เมื่อเดือนก.ย.ปีก่อน กล่าวยกย่องคำตัดสินของศาลในคดีนี้ในทวีตของเขาว่า “ ศาลสูงสนับสนุนคำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์ ว้าว ! ”
คำสั่งที่เข้มงวด ซึ่งถือเป็นคำสั่งลำดับที่ 3 ของรัฐบาล ส่งผลกระทบกับพลเมืองจากอิหร่าน ลิเบีย เกาหลีเหนือ โซมาเลีย ซีเรีย เวเนซุเอลา และเยเมน โดยประเทศช้าดถูกถอดออกจากรายชื่อเมื่อเดือนเม.ย. โดยมีการปรับแก้คำสั่งหลังมีการพิจารณาคดีในศาล
“แม้ผมจะรู้สึกผิดหวังกับคำตัดสิน แต่ผมก็รู้สึกเบาใจว่าระบบรัฐบาลของเราทำงานไปตามเจตนาของผู้ก่อตั้ง ตอนนี้ศาลสนับสนุน ต่อไปคือสภาคองเกรสที่จะทำหน้าที่และตีกลับคำสั่งห้ามเดินทางของประธานาธิบดีทรัมป์ที่คิดเอาเองฝ่ายเดียวและไม่ฉลาดเลย” อัยการ Neil Katyal ผู้ยื่นคำฟ้องระบุในแถลงการณ์
หลังจากทวีตบนทวิตเตอร์ไปแล้ว ประธานาธิบดีระบุในแถลงการณ์ว่า คำตัดสินของศาลเป็นเหมือนคำแก้ตัวให้เขา หลังจากหลายเดือนที่ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสื่อและนักการเมืองพรรคเดโมแครตซึ่งปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่จะก่อให้เกิดความมั่นคงกับพรมแดนและประเทศของเรา
“ ประเทศของเราจะปลอดภัย มั่นคงและได้รับการปกป้องในความดูแลของผม” ทรัมป์ระบุ
คำตัดสินของศาลมาจากมติขององค์คณะผู้พิพากษาที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยผู้พิพากษา Robert และอีก 4 คนได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ขณะที่ผู้พิพากษาอีก 4 คน ได้รับการแต่งตั้งจากพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ รัฐฮาวายกล่าวหาว่า คำสั่งห้ามนี้มีแรงจูงใจมาจากการแบ่งแยกทางศาสนา โดยประเทศที่ถูกแบนจากคำสั่งนี้ พลเมืองส่วนใหญ่เป็นมุสลิม
คดีนี้เริ่มขึ้นในเดือนพ.ย.เมื่อทนายความใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ยืนคำร้องไปที่ศาลสูงสุดให้วินิจฉัยคำสั่งนี้ เนื่องจากผู้พิพากษาศาลฮาวายมีคำตัดสินให้หยุดคำสั่งแบนนี้ โดยรัฐฮาวายโต้แย้งว่าคำสั่งห้ามเดินทางจะทำให้ครอบครัวของชาวฮาวายถูกพรากจากกัน และทำลายความหลากหลายของวัฒนธรรมในฮาวายที่มีมานานหลายทศวรรษ
ศาลสูงสนับสนุนรัฐบาล โดยผู้พิพากษา Roberts มองว่า 5 ประเทศมุสลิมที่อยู่ในคำสั่งห้ามเดินทางนี้ คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 8% ของจำนวนประชากรมุสลิมในโลกเท่านั้น
โดยทรัมป์ระบุว่า คำสั่งห้ามนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
“ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเกี่ยวกับการก่อการร้าย และทำให้ประเทศของเราปลอดภัย” เขากล่าวตั้งแต่เดือนม.ค.2560 หลังจากคำสั่งนี้ในเวอร์ชั่นแรกถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง.