“ตีตีชูสิง”หยุดบริการ 1 สัปดาห์จากข่าวฉาว
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ตีตีชูสิง สตาร์ทอัพ ผู้ให้บริการรถยนต์ร่วมโดยสารยักษ์ใหญ่ของจีนระบุว่า บริษัทจะระงับการให้บริการหนึ่งในแอปพลิเคชั่นเรียกรถโดยสารที่เรียกว่า ride-hitching เป็นเวลานาน 1 สัปดาห์ หลังจากเกิดเหตุร้ายที่ผู้โดยสารถูกฆาตกรรม
โดยตีตีชูสิงกล่าวว่า เหยื่อที่เป็นหญิงคนหนึ่งซึ่งถูกระบุว่าชื่อ น.ส.หลี่ ถูกสังหารโดยลูกชายของคนขับรถของบริษัทรายหนึ่ง ซึ่งลงทะเบียนเข้ามาด้วยแอปพลิเคชั่นของผู้เป็นพ่อ ทำให้เขาได้รับอนุญาตให้ไปรับผู้โดยสารได้
ผู้ที่ขับรถให้บริษัทรายนี้ไม่ถูกคัดกรองโดยโหมดจดจำใบหน้าตอนกลางคืนของตีตี เนื่องจากระบบความปลอดภัยในเวลากลางคืนของบริษัทบกพร่อง อ้างอิงจากรายงานของบริษัท
บริษัทตีตีชูสิงออกมาขอโทษและกล่าวว่า บริษัทรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งเกี่ยวกับเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ โดยระบุว่า ความรับผิดชอบของบริษัทในกรณีนี้เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
“ งานที่สำคัญเป็นพิเศษของเราคือ การทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายด้วยความพยายามอย่างที่สุด ” ตีตีชูสิงระบุในแถลงการณ์ “ ต้องมีการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาล คุณหลี่และครอบครัวสมควรได้รับคำตอบที่ชัดเจน”
บริษัทเสริมว่า “ เราต้องขออภัยอีกครั้งสำหรับครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและต่อประชาชน โปรดมั่นใจว่า เราจะพิจารณาตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจโดยรวมของเราเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง ”
อ้างอิงจากรายงานของทางการ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและมีอายุเพียง 21 ปี เธอถูกฆ่าในเมืองเซินเจิ้น เมืองหลวงของมณฑลเหอหนานในจีน ข่าวนี้เป็นกลายเป็นข่าวดังในจีนและติดเทรนด์ของเว็บไซต์เว่ยป๋อด้วย
ตีตี Hitch ซึ่งเป็นบริการเรียกรถโดยสารของบริษัท และเป็นหนึ่งใน 13 บริการจากบริษัทแท็กซีแห่งนี้ จะถูกระงับการให้บริการเป็นเวลา 1 สัปดาห์ทั่วประเทศ เพื่อให้บริษัททำการตรวจสอบและแก้ไขในประเด็นนี้ โดยจะเริ่มระงับการให้บริการตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.
ข่าวนี้มีขึ้นหลังจากมีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้เตรียมตัวจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยตีตีชูสิงซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นประมาณ 450 ล้านราย เป็นสตาร์ทอัพให้บริการรถร่วมโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในจีน
ในปี 2559 ตีตีชูสิงซื้อธุรกิจในจีนของอูเบอร์ สตาร์ทอัพสัญชาติอเมริกันซึ่งเป็นคู่แข่งกันมานานในจีน และในปี 2561 บริษัทกำลังขยายกิจการจากจีนไปต่างประเทศคือเม็กซิโก นอกจากนี้ ยังสนใจจะขยายกิจการไปไต้หวันอีกด้วย
ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว มีการประเมินว่า บริษัทมีมูลค่ามากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.60 ล้านล้านบาท หลังจากมีการระดมทุนได้ถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 128,280 ล้านบาทจากนักลงทุน ซึ่งรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่จากญี่ปุ่นอย่างซอฟต์แบงก์ด้วย ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังว่า มูลค่าของบริษัทจะพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 70,000 – 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเสนอขายหุ้น IPO.