“อาลีบาบา”ลงทุน”ลาซาดา”เพิ่ม
อาลีบาบากรุ๊ปโฮลดิงแถลงว่าจะลงทุนเพิ่มอีก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 62,860 ล้านบาท ในลาซาดากรุ๊ป – อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปลี่ยนตัวซีอีโอในการบริหารกิจการ เนื่องจากมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่างอเมซอน บริษัทยักษ์ใหญ่ที่กำลังรุกคืบขยายธุรกิจเข้ามาแข่งขันในภูมิภาคที่มีกำลังซื้อสูง
โดยลูซี เผิง ซึ่งเป็น 1 ใน 18 ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบาและผู้บริหารมืออาชีพจะเข้ารับตำแหน่งซีอีโอแทนคนเดิมซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลาซาดาคือ นายแมกซ์ บริทเนอร์ และเขาจะมารับตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสที่อาลีบาบาแทน
หุ้นของอาลีบาบาเพิ่มขึ้นทันทีหลังข่าวการลงทุนครั้งนี้ โฆษกหญิงของบริษัทกล่าวกับสื่อรอยเตอร์ โดยอาลีบาบาถือหุ้นในลาซาดาอยู่ 83% ก่อนการลงทุนเพิ่ม ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 125,720 ล้านบาท หลังจากมีการอัดฉีดเงินลงทุนเข้ามา 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสองปีที่ผ่านมา
“ การลงทุนเน้นให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของอาลีบาบาในความสำเร็จในอนาคตของลาซาดา และเป้าหมายการเติบโตในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญของยุทธศาสตร์การเติบโตของอาลีบาบา” อาลีบาบาระบุในแถลงการณ์
ปีที่ผ่านมา อาลีบาบาและ Ant Financial บริษัทในเครือ มีการขยายตัวอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับบริษัทค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ อเมซอน และคู่แข่งร่วมชาติอย่าง JD.com ที่ต่างบุกเข้ามาในภูมิภาคนี้เพื่อแย่งกันจับกลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่
“ ด้วยจำนวนประชากรรุ่นใหม่ ตัวเลขการใช้สมาร์ทโฟนที่สูง และยอดขายค้าปลีกออนไลน์เพียง 3% ในภูมิภาค เรารู้สึกเชื่อมั่นที่จะลงทุนเพิ่มเป็นสองเท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ลูซี เผิง ซึ่งนั่งเก้าอี้ผู้บริหารที่ Ant Financial กล่าว
อาลีบาบา ซึ่งดำเนินธุรกิจในประเทศต่างๆกว่า 200 ประเทศ และมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นช้อปสินค้าของบริษัทกว่า 500 ล้านคน หนุนให้ลาซาดาเป็นแหล่งรายได้ของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซแห่งนี้
ในปี 2560 อเมซอนได้ออกโปรโมชั่นด้วยบริการส่งสินค้าถึงมือผู้รับภายใน 2 ชั่วโมงที่สิงคโปร์ ขณะที่ JD.com สร้างโครงข่ายโลจิสติกส์ในอินโดนีเซีย และในเดือนม.ค.ปีนี้ บริษัทประกาศการลงทุนในบริษัทค้าปลีกออนไลน์ของเวียดนามคือ Tiki.vn
ด้วยจำนวนผู้บริโภค 640 ล้านคน การเพิ่มจำนวนขึ้นของชนชั้นกลาง และการใช้สมาร์ทโฟนอย่างกว้างขวาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นสมรภูมิสำคัญสำหรับยักษ์ใหญ่ค้าปลีก โดย Consultancy Frost & Sullivan คาดการณ์ว่า มูลค่าของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 65,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.05 ล้านล้านบาท ในปี 2564 จากเดิม 20,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 644,315 ล้านบาท ในปี 2560
“ หากอินเดียเป็นสมรภูมิสำคัญอันดับหนึ่งระหว่างสหรัฐฯ และ จีนที่จะต้องช่วงชิงกันเป็นผู้นำ แน่นอนว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ต้องเป็นอันดับ 2” James Lloyd ผู้นำฟินเทคในเอเชียแปซิฟิกที่ EY ให้ความเห็น
ทั้งนี้ เทมาเส็ก โฮลดิงส์ บริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ และลาซาดา แมเนจเมนท์ ถือครองหุ้นในส่วนที่เหลือในลาซาดา
โดยลาซาดาเปิดตัวในปี 2555 และมีการดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม.