บิล เกตส์จ่ายภาษีกว่าหมื่นล้านดอลลาร์
บิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 91,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.91 ล้านล้านบาท และได้จ่ายภาษีหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ แต่เขากลับบอกว่า เขาควรที่จะต้องจ่ายมากกว่านี้
“ผมอยากจ่ายภาษีมากกว่านี้ ผมจ่ายภาษีไปมาก มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (317,900 ล้านบาท) มากกว่าใครหลายคน แต่รัฐบาลควรกำหนดให้คนในสถานะอย่างผมจ่ายภาษีมากขึ้นกว่านี้” เขากล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNN โดยความเห็นของของเขามีขึ้นหลังการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลช่วงปลายปี 2560
“มันไม่ใช่กฎหมายภาษีอัตราก้าวหน้า เป็นกฎหมายภาษีถอยหลังมากกว่า” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว “ทำให้ผู้คนที่ร่ำรวยกว่าได้ประโยชน์มากกว่าชนชั้นกลาง หรือคนที่ยากจนกว่า”
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 87,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.77 ล้านล้านบาท พูดถึงเรื่องภาษีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับภาษีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเรียกเก็บจากทรัพย์สินหลังการถ่ายโอนจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่งในวาระการเสียชีวิต เขากล่าวว่า การกำจัดมันออกไปจะเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายมาก เพราะระบบปัจจุบันในอเมริกาส่วนใหญ่แล้วเอื้อประโยชน์ให้คนรวย
ในทางทฤษฏี เขาสามารถทิ้งทรัพย์สินหลายพันล้านดอลลาร์ไว้ให้กับลูกและหลานเขา ซึ่งไม่ต้องจ่ายภาษีเพื่อรับโอนทรัพย์สิน
“ถ้าพวกเขาโชคดีพอที่จะเกิดมาในรังไข่ที่ถูกต้อง และมีนามสกุลที่ถูกต้อง อย่างบัฟเฟตต์ พวกเขาก็สามารถสร้างหลุมฝังศพของพวกเขาให้หรูหราอลังการเหมือนพวกอียิปต์ได้ อย่างที่ไม่เคยฝันมาก่อน”
“ผมไม่คิดว่า มันจะดีสำหรับสังคม ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมกันอยู่มาก ผมคิดว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง” เขาเสริม
ทั้งบิล เกตส์และวอร์เรน บัฟเฟตต์ใช้เงินกองทุนของเขาเป็นเครื่องมือในการให้ด้วยวิธีต่างๆ โดยในปี 2553 ทั้งสองคนได้ก่อตั้งโครงการ The Giving Pledge โดยเป็นข้อผูกพันให้มหาเศรษฐีทั้งหลายต้องสละทรัพย์สินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่แต่ละคนมีให้กับการกุศล
บิล เกตส์และภรรยาของเขา เมลินดา เกตส์ทำงานประจำเต็มเวลาที่มูลนิธิบิล และ เมลินดา เกตส์ ที่พวกเขาก่อตั้งขึ้น ซึ่งใช้เงินมากกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 127,160 ล้านบาทต่อปี เพื่อสู้กับโรคร้าย ปรับปรุงพัฒนาการศึกษา แจกจ่ายวัคซีนและต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำทางทรัพย์สินทั่วโลก
“ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน เราได้พูดคุยกันในเรื่องที่ว่า สุดท้ายแล้ว เราจะใช้เวลาให้กับการทำการกุศล” เขาเขียนในจดหมายเนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของการก่อตั้งโครงการ และบรรยายถึงงานการกุศลของมูลนิธิ
“เราคิดว่า นี่เป็นความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานสำหรับคนที่มีเงินมาก เมื่อคุณได้ดูแลตัวเองและลูกๆของคุณมากพอแล้ว การใช้เงินส่วนที่เกินมาที่ดีที่สุดคือ การให้คืนกลับสู่สังคม”.