จ้างงาน/ค่าจ้างสหรัฐฯพุ่ง
อัตราการจ้างงานในสหรัฐฯเติบโตพุ่งทะยานในเดือนม.ค.และค่าจ้างปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 8 ปี ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในปีนี้จากตลาดแรงงานที่มีการจ้างงานเต็มอัตรา
โดยตัวเลขการจ้างงานที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 200,0000 อัตราในเดือนม.ค. หลังจากเติบโตเพิ่มขึ้น 160,000 อัตราในเดือนธ.ค. อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 2 ก.พ.
ขณะที่ตัวเลขการว่างงานคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 4.1% ต่ำที่สุดในรอบ 17 ปี ค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค.เป็น 26.47 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้นมาถึง 0.4 % ในเดือนธ.ค.
ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2.9% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มสูงสุดตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 2552 จาก 2.7% ในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ตาม แรงงานมีชั่วโมงทำงานลดลงในเดือนที่แล้วเพราะอากาศหนาวจัด โดยชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ลดลงมาอยู่ที่ 34.3 ชั่วโมง น้อยที่สุดในรอบ 4 เดือน จากเดิมคือ 34.5 ชั่วโมงในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ รายงานตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเน้นให้เห็นโมเมนตัมของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว 3 ครั้งในปี 2560
เดือนม.ค.ปีนี้เป็นปีแรกที่ข้อมูลการจ้างงานภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ครบรอบ 1 ปี การเติบโตของอัตรางานเฉลี่ยอยู่ที่ 176,000 อัตราต่อเดือนภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน เมื่อเทียบกับ 208,300 อัตราในระหว่างปีสุดท้ายของการบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
คาดการณ์ว่าการเติบโตของงานจะชะลอตัวลงในปีนี้ เนื่องจากตลาดแรงงานมีการจ้างงานเต็มอัตรา หลายบริษัทรายงานความยากในการหาพนักงานที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าจะบีบให้ค่าจ้างปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทต้องแข่งขันกันหาพนักงานที่มีคุณภาพ
การเติบโตของค่าจ้างในเดือนที่แล้วเกิดขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผลบังคับใช้ใน 18 รัฐในเดือนม.ค. นอกจากนี้ ค่าจ้างยังปรับขึ้นเพราะได้อานิสงส์จากการลดภาษีใหม่ บริษัทอย่าง Starbucks และ FedEx ระบุว่า พวกเขาใช้บางส่วนของเงินที่เหลือเก็บจากภาษีที่ลดลงมาเพิ่มเป็นค่าจ้างให้พนักงาน
มาตรวัดที่กว้างขึ้นของอัตราการว่างงาน ซึ่งรวมคนที่ต้องการทำงานแต่ล้มเลิกการหางานและทำงานพาร์ทไทม์เพราะพวกเขาไม่สามารถหางานเต็มเวลาได้ เพิ่มขึ้นเป็น 8.2% ในเดือนม.ค.
โดยตัวเลขการว่างงานสำหรับชาวแอฟริกันอเมริกันเพิ่มขึ้นเป็น 7.7% จากเดิม 6.8% และมากเป็นสองเท่ากว่ากลุ่มคนผิวขาว
การจ้างงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 15,000 อัตราในเดือนม.ค.หลังจากเพิ่มขึ้น 21,000 อัตราในเดือนธ.ค.โดยภาคส่วนนี้ได้แรงสนับสนุนจากดีมานด์ที่แข็งแกร่งในประเทศและต่างประเทศ เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงยังช่วยหนุนการผลิตให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ สามารถแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดต่างประเทศ
การจ้างงานในภาคการก่อสร้างฟื้นตัวขึ้นในเดือนม.ค. ถึงแม้จะมีอากาศหนาวจัด ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้น 36,000 อัตรา เพิ่มขึ้นจากเดิม 33,000 อัตราในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว โดยการจ้างงานในภาคค้าปลีกฟื้นตัวขึ้นและภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้นหลังจากลดลงสองเดือนติดต่อกัน
นอกจากนี้ ยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นสำหรับบริการทางอาชีพและธุรกิจ การพักผ่อนและการโรงแรมรวมทั้งการดูแลสุขภาพและการช่วยเหลือทางสังคม.