“อาคม” ยันไม่ล็อคดาวน์ประเทศไทย
“อาคม” ยันไม่ล็อคดาวน์ประเทศไทย
ขุนคลัง มั่นใจเศรษฐกิจฟันฝ่าวิกฤติโควิด สายพันธุ์โอไมครอนได้ ไม่จำเป็นต้องล็อคดาวน์ประเทศ เนื่องจากครั้งแล้ว ทำให้เศรษฐกิจไทยพัง ผู้ประกอบการและประชาชนมีต้นทุนสูงขึ้น แนะเพิ่มปริมาณการค้าชายแดนดันส่งออกพุ่ง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นตามลำดับ หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ (ปิดเมือง) ทำให้บรรยากาศการใช้สอย และการบริโภคของประชาชนในต่างจังหวัด และพื้นที่ของกรุง เทพฯ ปริมณฑล ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเดินทางไปต่างจังหวัดพบเห็นประชา ชนนั่งรับประทานที่ร้านอาหาร รวมถึงเดินทางท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ทำให้มั่นใจว่า เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น และฟื้นตัวแล้ว
ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้า ยังคาดหวังว่า จะขยายตัวได้ 4% ของจีดีพี แม้จะมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สายพันธ์โอไมครอนก็ตาม เพราะรัฐบาลจะไม่ปิดประเทศ หรือปิดเมืองเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการปิดเมืองก่อ ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมาก ต้นทุนของปิดเมืองทำให้ผู้ประกอบการ และผู้ผลิตโดยเฉพาะรายเล็กรายน้อยต้องปิดกิจการ แต่การที่รัฐบาลไม่ปิดเมืองนั้น ประชาชนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดของระบบสาธารณะสุข เพื่อ ให้ทุกภาคส่วน ทุกสาขาอยู่ต่อไปได้ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการป้องกันไวรัสโควิด จึงขอความร่วมมือกับประชาชนทุกคน ช่วย กันป้องกันการแพร่เชื้ออย่างเข้มงวด การเว้นระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากาก
“นักท่องเที่ยวคงมาไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะการมีไวรัส สายพันธุ์ใหม่ แต่การที่เราเห็นโรงแรม ร้านอาหารและสถานที่ต่างๆ เปิดกิจการได้ คือ การรักษาการจ้างงาน การรักษารายได้ แม้รายได้ลดลงก็ตาม”
นายอาคม กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนต่อไปในอนาคตคือ เพิ่มบริโภคภายในประเทศ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามามาไม่ได้ ไทยก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ไทยจะมีเศรษฐกิจเล็กกว่าจีน หรือญี่ปุ่น แต่ไทยมีการค้าตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านยังต้องการสินค้าไทย การส่งสินค้าไปยังชายแดน ยังทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้นได้ จึงกำชับให้กรมศุลกากรดูแลการตรวจปล่อยสินค้าและระวังเรื่องสินค้าผิดกฎหมาย
ส่วนกรณีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้า จากเดิม 3.9% ลงมาเหลือ 3.4% เพราะหวั่นการแพร่ระบาดของโอไมครอน ซึ่งจีดีพีที่ลดลงเกิดจากผลกระทบโอไมครอน ที่มีอยู่ประมาณ 0.3% แต่ตัวเลขจีดีพีปีหน้าขยายตัว 3.4% ก็ยังถือเป็นเศรษฐกิจขาขึ้น เมื่อเทียบปีนี้ ที่ขยายตัวได้เพียง 1%