การกลับมาของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ราษฎร เสื้อแดง
คนเสื้อแดงไม่เคยหายไปไหนเลย เราจึงไม่ต้องกลับมา เพราะเราอยู่ตรงนี้ เพียงแต่วันหนึ่งเราอาจจะอยู่กลางถนน วันหนึ่งเราอาจจะไปอยู่ข้างถนน ไปพักเหนื่อยพักรอยบาดเจ็บ ขาดแผล
เต้น – ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำเสื้อแดง กลับมาจัดขบวนการชุมนุมอีกครั้ง หลังร้างลาเวทีการชุมนุมไปนานตั้งแต่ปี 2557
มาครั้งนี้เขาเปิดตัวด้วยการร่วมชุมนุมกับ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ในกกิจกรรมคาร์ม็อบ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ก่อนที่จะเป็นเจ้าภาพจัดม็อบเองในวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา
กลับมาครั้งนี้ “ณัฐวุฒิ” มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในขบวนการต่อสู้ทางการเมืองหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบและผู้คน
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า เขาเห็นประชาชนที่ไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือเคยเห็นต่างกับพวกเขา ออกมาร่วมแรงร่วมใจกัน จึงมองว่า สาระสำคัญคือ คนเข้าถึงความจริง แล้วตกผลึกร่วมกัน ว่าไม่พอใจการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ผมไม่ได้ประกาศตัวเป็นผู้นำหรือแกนนำนะ คนที่เขาออกมา ก็ไม่ได้ออกมาเพราะตามณัฐวุฒิ ออกมาจากความคิดความเชื่อความเข้าใจของตัวเอง”
ในสายตาของนักเคลื่อนไหว ณัฐวุฒิ มองการต่อสู้ทางการเมืองของเยาวชนในปัจจุบันว่า มีพลังอย่างมาก โดยข้อเรียกร้องของคนหนุ่มสาว ก็เป็นเรื่องเดียวกับที่พวกเขาได้ต่อสู้มาโดยตลอด
“ถ้าจำกันได้หลังรัฐประหารปี 2549 เมื่อประชาชนออกมายืนกลางถนน หลายคนถามมาขบวนการนิสิตนักศึกษา พลังของคนหนุ่มสาว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับที่ชัดเจนนัก แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้น โดยที่พวกเขาต่างหากที่เรียกหาพลังเดิมๆ เหมือนกับคนรุ่นก่อนๆที่เคยเดินมาในแนวทางประชาธิปไตย”
ณัฐวุฒิ อธิบายถึงการกลับมาของเขา ว่า ความจริงแล้วคนเสื้อแดงไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน หากแต่พัก รักษาตัวจากบาดแผล และความเจ็บปวด
“ถ้าถามผมว่าเมื่อวันที่ 1 ส.ค.คือการกลับมาของคนเสื้อแดงหรือไม่ ผมบอกว่าไม่ใช่ ถ้าอธิบายถนนการต่อสู้เช่นนี้คือการเดินทางไกลสู่ประชาธิปไตย คนเสื้อแดงไม่เคยหายไปไหนเลย ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกลับมา เพราะเราอยู่ตรงนี้ เพียงแต่วันหนึ่งเราอาจจะอยู่กลางถนน วันหนึ่งเราอาจจะไปอยู่ข้างถนน ไปพักเหนื่อยพักรอยบาดเจ็บ ขาดแผล แต่เมื่ออนาคตของประเทศเรียกหา เมื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลานถามหา พี่น้องก็จะออกมา มันเป็นการเชื่อมต่อของยุคสมัย เป็นการประสานหัวใจของคนแต่ละรุ่นแต่ละวัย เข้ามาอย่างทรงพลัง”
“สำหรับฝ่ายผู้มีอำนาจต่อให้ท่านใช้กำลังมากแค่ไหน ต่อให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายถูกจับกุมคุมขัง โดยอำนาจของท่านมากแค่ไหน ท่านเปลี่ยนความคิดคนไม่ได้ ท่านเปลี่ยนความคิดคนและวิถีทางของกระแสความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนที่อายุมากๆ ก็มีแต่ที่จะร่วงโรยและล้มหายไปตามกาลเวลา แต่คนหนุ่มสาวที่เขาโตขึ้นมา ผมเชื่อว่าพวกเขาชัดเจนที่จะอยู่ข้างเดียวกัน และอันที่จริงทุกฝ่ายยืนข้างเดียวกันได้ โดยไม่ต้องคิดเหมือนกัน นั่นคือข้างหลักการที่ถูกต้อง ข้างการเคารพคุณค่าของการเป็นมนุษย์“
ณัฐวุฒิ ผู้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายครั้งหลายคราว พร้อมที่จะนำบทเรียนจากประสบการณ์ชุมนุมปี 2553 มาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
“เราต้องยืนอยู่บนความจริงของสถานการณ์ ถ้าไม่มีโควิด-19 ผมยืนยันว่ากลางถนนในกรุงเทพมานคร ต้องเห็นคนเป็นหลักแสน เดินขบวนไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ว่าผมแน่ แต่อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนมันมาถึงแล้ว ณัฐวุฒิมาหรือไม่มานั้น ไม่เกี่ยว แต่ประชาชนมาแล้ว ผมเชื่อแบบนี้”
เขา กล่าวว่า จะพยายามเชื่อมประสานกันกับเครือข่ายให้กว้างขึ้นมากขึ้น พร้อมที่จะเปิดประตูทุกบานเพื่อต้อนรับคนเข้าร่วม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องละเว้นตัวตนของการต่อสู้ที่เคยเป็นมาในอดีต เราไม่จำเป็นต้องปฏิเสธจิตวิญญาณของเรา อย่างไรก็ตาม ณัฐวุฒิ ยังเห็นว่า ปัจจุบัน มีคนคิดแบบพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เอาง่ายๆ แค่เวลาผมไปไหนมาไหน สายตาที่มองผม ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเคยคิดไม่เหมือนเรา แต่วันนี้เขาพร้อมที่จะยิ้มให้ พร้อมที่จะส่งไมตรีให้ คนที่ผมเจออยู่บ่อยๆ เช่น คนในหมู่บ้านเดียวกัน คนในวงสังคมที่เกี่ยวพันกับงาน หลายคนไม่เคยทักผมเลย หน้าตาก็ไม่มองกัน แต่ผมออกจากคุกรอบนี้ เขาทักก่อนเขายิ้มให้ก่อน แล้วยังคงทักทายเป็นมิตรอยู่จนปัจจุบัน สัญญาณพวกนี้ มีไม่น้อย”
อดีตแกนนำ นปช.คนนี้ยังเหลือคดีติดตัวอีกไม่น้อย “ณัฐวุฒิ” ทำใจไว้แล้วว่า เมื่อออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาก็มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในคุกอีกครั้ง
“ออกมาผมก็เห็นรำไรแล้วว่า คดีความ ชะตากรรมเรานั้น มันก็พุ่งเข้ามาหา มีอย่างเดียวคือผมจะเดินไปข้างหน้า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะสิ่งที่เรากำลังทำ เรามุ่งหวังที่จะให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าสำหรับสังคมไทย“
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทิ้งท้ายว่า สำหรับ นปช. ไม่ได้มีสภาพเกือบ 3 ปีแล้ว ไม่ได้มีการประชุม ไม่ได้มีการหารืออะไรกันในกลุ่มแกนดังนั้น จึงถือว่ามันไม่ได้มีอยู่จริงในขนาดนี้
แต่คนเสื้อแดงยังมีอยู่อย่างเต็มภาคภูมิ เต็มเกียรติยศของนักต่อสู้
และพร้อมร่วมมือกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกกลุ่ม