จม “เรือดำน้ำ” ยามวิกฤตโควิด-19
ความพยายามของกองทัพเรือ ต้องถูกระงับไปอีกปี เมื่อบรรดาพรรคการเมือง แม้กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมใจกันจมเรือดำน้ำ
แม้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะสั่งถอยโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 งบเงิน 22,500 ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ 2565 โดยเห็นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงอยู่และมีผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง
กระนั้น ก็ยังได้เห็นความพยายามที่ไม่ลดละของกองทัพเรือ ที่จะจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ให้ได้ แม้สถานการณ์โควิด-19 จะหนักหน่วงมากก็ตาม
พล.ร.อ.เชษฐาใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ สาธยายถึงความจำเป็นของเรือดำน้ำว่า ในภารกิจการปกป้องอธิปไตยทางทะเลนั้นจำเป็นที่จะต้องมีครบ 3 มิติ เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีเพื่อนบ้านและผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ตอนที่เราดีต่อกัน เป็นมิตรกัน ก็ไม่มีปัญหา แต่พอดูหน้าแล้วเขม่นกันเมื่อไหร่ จากเป็นมิตรก็เกิดข้อพิพาทข้อขัดแย้ง ถ้าหมัดเราเล็กทางการทูตการเจรจาเราก็เสียเปรียบ แต่ถ้าหมัดเราโต การเจรจาเราก็มีน้ำหนัก เขาบอกว่าเครื่องมือทางการทหาร ไม่ได้ต้องการมีไว้รบ แต่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการเจรจาให้ได้เปรียบ
ที่ผ่านมา กองทัพเรือพยายามสื่อสารถึงความจำเป็นที่ประเทศไทย ต้องมีเรือดำน้ำ โดยมีการตั้งเพจเฟซบุ๊ก “เรือดำน้ำไทย Thai Submarines” เป็นสื่อกลางสร้างความเข้าใจต่อประชาชน
มีการเชิญวิทยากร นักวิชาการ นักการทหาร มาบรรยากาศประเด็นภัยคุกคามทางทะเลอย่างต่อเนื่อง
เช่น ดร.วิลาสินี พิบูลย์เศรษฐ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวถึงความไม่มั่นคงในสถานการณ์ทะเลจีนใต้ว่า เมื่อเกิดปัญหาที่ทะเลจีนใต้ ย่อมจะกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน ขณะที่ประเทศในอาเซียนเองก็มีจุดยืนที่ไม่ตรงกัน ซึ่งบางประเทศอาจเอนเอียงไปทางประเทศจีน ขณะที่บางประเทศก็ต้องการให้สหรัฐฯเข้ามาในพื้นที่ เพื่อช่วยปกป้องและคานอำนาจกับจีน จึงทำให้เกิดความปั่นป่วน ดังนั้น ปัญหานี้จึงจะกระทบในเรื่องของความมั่นคงทางทะเล กระทบผลประโยชน์ทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการ ประมง การเดินเรือ เป็นต้น
แต่ทางด้าน ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กลับบอกว่า หากกองทัพเรือไม่ซื้อเรือดำน้ำเพิ่มอีก 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท จะสามารถนำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ด้านการศึกษาและสาธารณสุข ดังนี้
-แจกทุนการศึกษาเด็กยากจนทุนละ 5,000 บาท จำนวน 4.5 ล้านคน
– ซื้อวัคซีนมาฉีดฟรีให้ประชาชนได้อย่างต่ำ 123 ล้านโดส
-เครื่องตรวจแจกฟรีให้ประชาชนได้ 64 ล้านคน
-เครื่องวัดออกซิเจน 22 ล้านเครื่อง
-ชุด PPE ให้บุคลากรทางการแพทย์ 150 ล้านชุด.
เนื่องจากกองทัพเรือเสนอกรอบงบประมาณเพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ทำให้หลายพรรคการเมือง ต้องออกมาแอคชั่นแสดงความไม่เห็นด้วย ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้แสดงจุดยืนถึงการตั้งงบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ของกองทัพเรือ โดยพรรค พปชร.ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนกับการจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเทศอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ยังมีความรุนแรง ดังนั้นการจะใช้งบประมาณใดๆ ต้องพิจารณารอบด้าน และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
“ซึ่งขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์วิกฤติโรคระบาดเปรียบเสมือนการทำสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ต้องสู้กับเชื้อโรคที่มองไม่เห็น จึงมีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤติดังกล่าวให้ผ่านพ้นไปได้ ซึ่งการนำงบประมาณไปจัดซื้อเรือดำน้ำยังมีความจำเป็นเร่งด่วนน้อยกว่าการนำงบประมาณไปแก้ไขปัญหาโรคระบาดโควิด-19 จึงขอให้กองทัพเรือชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไปก่อน“
ด้าน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และรองประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์และ ICT ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 เห็นว่าในขณะที่สถานการณ์ของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และประชาชนประสบกับปัญหาสภาพเศรษฐกิจ ประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงนี้ เพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่จะต้องนำเอางบประมาณมาช่วยเหลือประชาชนในด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ซึ่งต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนจึงจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในช่วงของวิกฤติโควิด19
ที่นาสนใจ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสาคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นอกจากเรือดำน้ำ ยังมีการจัดซื้อเรือเอนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่สนับสนุนการปฏิบัติการเรือดำน้ำอีกลำหนึ่ง ราคา 6.2 พันล้าน เป็นเรือเปล่าไม่มีอุปกรณ์ระบบอาวุธและอุปกรณ์ตรวจจับใดๆ โดยตั้งงบประมาณปี 2565 เพื่อจัดซื้ออาวุธเพิ่มอีก 1.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อที่ขาดแผนงาน ไม่ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพของเรือ และเรือไม่มีความพร้อมในด้านการรบเลยแม้แต่น้อย
เขา กล่าวว่า “เราจะไม่ปรับลดงบประมาณ แต่ตั้งใจจะให้ตัดงบประมาณในส่วนนี้ทิ้งไปเลย ถ้า กมธ.ฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ก็เสนอให้มีการโหวต จะได้รู้ว่าใครบ้างที่ยกมือโหวตผ่านให้ซื้อเรือดำน้ำ ในสถานการณ์ที่พี่น้องประชาชนกำลังยากลำบาก”
ล่าสุด กองทัพเรือ ถอนการขออนุมัติงบประมาณปี 2565 เพื่อซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณฯ ออกไปแล้ว คาดว่าจะเสนอเข้ามาใหม่ ในปีงบประมาณ 2566
กระนั้น ก็จะเห็นว่าเส้นทางการจัดซื้อเรือดำน้ำหลังจากนี้คงไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะทุกพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ต่างรู้ดีว่าโครงการเรือดำน้ำ เป็นสิ่งที่ประชาชน “ขยาดกลัว” และไม่อยากเห็น
ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่ประชาชนกำลังยากลำบาก มองไม่เห็นอนาคต ความพยายามจะการซื้อเรือดำน้ำจึงเป็นควาพยายามที่ดูเหมือนมองไม่เป็นความสำคัญของประชาชน ซื้อไปก็จะยิ่งส่งผลเสียในภายภาคหน้า
ด้วยเหตุนี้ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จึงพร้อมใจ จมเรือดำน้ำ ในสถานการณ์โควิด-19