ประเสริฐ ลั่น ประยุทธ์ไม่ไหว เพื่อไทยพร้อม
“เลขาธิการพรรคเพื่อไทย” สรุปภาพรวมการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 รัฐบาลจำนนด้วยข้อเท็จจริง ‘ตอบไม่ได้ ไปไม่เป็น’ 7 ปี ทำชาวบ้านเดือดร้อนแสนสาหัส ไม่สามารถไว้วางใจปล่อยให้ละลายงบประเทศ เรียกร้องนายกฯ พิจารณาตัวเองแสดงความรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่พรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ง บประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในวาระ 1 ว่า พรรคเพื่อไทยพอใจการทำหน้าที่ของ ส.ส. ของพรรคในครั้งนี้ ที่ได้ช่วยกันพยายามชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ไร้ประสิทธิภาพ บริหารประเทศผิดพลาด บกพร่อง ล้มเหลว ซ้ำซากมาตลอด 7 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รัฐบาลล่าช้าทั้งการป้องกัน การตรวจรักษา แก้ปัญหาผิดที่ผิดเวลา แม้แต่การจัดหาวัคซีนก็ล่าช้าและสร้างความสับสนต่อเนื่อง สร้างผลกระทบให้ประชาชนเดือดร้อนทั้งด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจ
ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้บอกความจริงกับประชาชนถึงวิกฤตต่างๆ ที่เกิดจากความไร้ประสิทธิภาพ ผิดพลาด บกพร่องของรัฐบาล รวมทั้งยัง ‘จัดสรรงบประมาณล้มเหลว’ ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน แอบแฝงการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและส่อว่าอาจมีการหาประโยชน์ทางการเมืองจากงบประมาณ รวมไปถึงปัญหาการกู้เงินจำนวนมหาศาล สร้างภาระหนี้สินให้ประเทศชาติและประชาชน
ขณะที่รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี จำนนต่อข้อเท็จจริง ‘ตอบไม่ได้ ไปไม่เป็น’ ชี้แจงไม่ตรงคำถาม โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งคำถามไว้ คือ ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตโควิค รัฐบาลกลับจัดสรรงบประมาณในปี 2565 ให้กับกระทรวงกลาโหมมากขึ้นกว่างบประมาณได้รับการจัดสรรในปี 2564 ประมาณ 0.1% ของงบประมาณ
ในจำนวนนี้เป็นการจัดสรรงบประมาณสำหรับกองทัพที่จะนำไปจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รวมกัน 3 เหล่าทัพกว่า 8,274 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงกรณีที่กระทรวงกลาโหมมีงบประมาณผูกพันระหว่างปี 2565 – 2568 รวมในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์สูงกว่า 88,969 ล้านบาท โดยเฉพาะการจัดซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีของกองทัพเรือรวมกว่า 37,849 ล้านบาท ในทางกลับกันกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขวิกฤตโรคระบาด กลับถูกลดงบประมาณลงถึง 4,300 ล้านบาท คิดเป็น -2.74% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 12 ปี ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโควิดและสุขภาพของคนไทย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงนำมาสู่ข้อสรุป ‘ไม่รับร่างงบประมาณ ไม่ไว้วางใจประยุทธ์’ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ลงมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ในวาระ 1 เนื่องจากไม่สามารถไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ให้บริหารประเทศและใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนต่อไปได้
อย่างไรก็ตามแม้ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณจะผ่านสภาในวาระ 1 ด้วยกลไกทางการเมืองและการประสานผลประโยชน์กันอย่างไม่คำนึงถึงทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน พร้อมๆ กับการต่อว่าต่อขานกันแบบไม่ไว้หน้า แต่ก็เห็นได้ว่าการอภิปรายของสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองกลับตอกย้ำให้เห็นว่าการจัดทำงบประมาณปี 2565 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตของชาติ ไม่แก้ปัญหาของประเทศ กลับหัวกลับหาง จัดงบแบบแย่งชิงการนำทางการเมือง ไร้แนวทางในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของชาติ
จากผลการลงมติจะเห็นได้ชัดเจนถึงการกระทำของพรรคร่วมรัฐบาลที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่ได้อภิปรายในสภา สะท้อนความเปราะบางภายในและส่อให้เห็นว่าอาจจะมีการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง
ดังนั้นในวาระ 2 ชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะเดินหน้าทำหน้าที่ผู้แทนประชาชนอย่างเต็มที่ ‘ประชาชนต้องรอด ประยุทธ์ต้องร่วง’ เดินหน้าปกป้องภาษีของพี่น้องประชาชนทุกบาททุกสตางค์ให้มีการจัดสรรใช้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการปรับลดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นที่ถูกแอบแฝงไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้
พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องพลเอกประยุทธ์ คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความผิดพลาดของรัฐบาลมาโดยตลอด พิจารณาตัวเองและเปิดทางให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ไขวิกฤตประเทศ แก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปและสถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าที่จะฟื้นฟูได้
ในสถานการณ์วิกฤตพรรคเพื่อไทย คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ‘ประยุทธ์ไม่พร้อม เพื่อไทยพร้อม’ พรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับการยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ประกอบกับตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรคได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตที่ผ่านมาได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ ไม่ว่าจะเหตุคลื่นยักษ์สึนามิหรือการระบาดของไข้หวัดนก รวมทั้งสามารถฟื้นฟูประเทศให้กลับคืนสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว อีกทั้งยังได้รับการยอมรับว่าสามารถดำเนินนโยบายที่สร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนได้สำเร็จมาโดยตลอด มีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาและดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน
ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่ารัฐบาลนี้อย่างแน่นอน “ไม่เชื่อ อย่าท้า”