จีนนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ
จีนตกลงที่จะนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกตามข้อตกลงล่าสุด ผลจากการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศส่งผลให้มีความก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย
โดยข้อตกลงจะทำให้เกษตรกรสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคข้าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากจีนนำเข้าข้าวสูงถึงประมาณ 5 ล้านตันในปีที่แล้ว
เมื่อครั้งที่จีนเปิดตลาดข้าวเมื่อปี 2544 การขาดข้อกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับโรคจากแมลงศัตรูพืชที่ทำลายข้าวส่งผลให้ต้องหยุดการนำเข้า
โดย USA Rice ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมข้าวสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อตกลงใหม่มีประเด็นที่ซับซ้อนที่สุด และมีการกำหนดมาตรฐานสำหรับผู้ส่งออกข้าวสหรัฐฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีแมลงที่ทำลายข้าวในจีน
USA Rice เสริมว่า จะทำงานประสานกับกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) เพื่อให้แน่ใจว่าอุตสาหกรรมข้าวจะปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
“ เรารู้ว่าจีนต้องการส่งทีมมาที่นี่เพื่อตรวจสอบโรงสี และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานที่จะส่งไปที่จีน และเรากำลังทำงานร่วมกับ USDA เพื่อให้เกิดผลลัพธ์โดยเร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด ” คาร์ล บราเธอร์ส ประธานของคณะกรรมการนโยบายการค้าระหว่างประเทศของ USA Rice กล่าว
ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ และอุตสาหกรรมข้าวมองว่าการทำข้อตกลงครั้งนี้คือชัยชนะครั้งใหญ่ “ ตลาดข้าวแสดงให้เห็นถึงโอกาสในวันนี้ เพราะมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต ” ซอนนี เพอร์ดิว รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ กล่าว
อ้างอิงจากการคาดการณ์ของ OECD ชาวจีนบริโภคข้าวโดยเฉลี่ย 75 ก.ก.ต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับ 13 ก.ก.ต่อคนต่อปีในอเมริกาเหนือ และ 5 ก.ก.ต่อคนต่อปีในยุโรป
เกษตรกรรมดูจะมีความหวังที่เรืองรองมากขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีอุปสรรคระหว่างสองประเทศ โดยการประกาศมีขึ้นหลังจากการพูดคุยทางการค้าที่เป็นที่ถกเถียงในกรุงวอชิงตันที่ดูเหมือนจะจบลงโดยมีความก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อยจากการฉวยโอกาสจากประเด็นที่ว่าจีนส่งออกเหล็กมาที่สหรัฐฯ มากจนได้ดุลการค้าถึง 347,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยทั้งสองประเทศไม่ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันหลังจากการพูดคุยจบลง และยกเลิกกำหนดการแถลงข่าว ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าอาจมีภาษีศุลกากร หรือโควต้าในการนำเข้าเหล็กจากจีน แต่หลังจากการพูดคุย ทางจีนระบุว่า มีความก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อยในประเด็นนี้
สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันแถลงว่า ทั้งสองฝ่ายมีการพูดคุยกันอย่างลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับลดความสามารถในการผลิตเหล็กที่สูงเกินไปในตลาดโลก และเห็นพ้องกันที่จะมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน.